ผู้เขียน หัวข้อ: หมอประจำบ้าน: กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)  (อ่าน 70 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1890
  • จำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรมและสินค้าอุตสาหกรรม
    • ดูรายละเอียด
หมอประจำบ้าน: กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
« เมื่อ: วันที่ 21 ตุลาคม 2025, 23:02:13 น. »
หมอประจำบ้าน: กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)

กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) คือภาวะที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียและเกิดการอักเสบขึ้นที่บริเวณกรวยไตและเนื้อเยื่อไต ซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรงกว่ากระเพาะปัสสาวะอักเสบ และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือภาวะไตวายได้

สาเหตุหลักของการเกิดโรค

สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียลุกลามจากส่วนล่างของระบบทางเดินปัสสาวะขึ้นไปยังไต:

1.   การติดเชื้อลุกลามจากกระเพาะปัสสาวะ: เชื้อแบคทีเรีย (ส่วนใหญ่คือ E. coli) มักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ แล้วลุกลามไปที่กระเพาะปัสสาวะ (ทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ) จากนั้นเชื้อจะเดินทางผ่านท่อไตขึ้นไปถึงกรวยไตและเนื้อไต

2.   พฤติกรรมเสี่ยง: การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีในกระเพาะปัสสาวะ และเพิ่มโอกาสที่เชื้อจะย้อนกลับขึ้นไป

3.   ความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ: ภาวะอุดกั้น เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต (ในผู้ชาย) หรือความผิดปกติแต่กำเนิดของระบบทางเดินปัสสาวะ จะขัดขวางการไหลของปัสสาวะและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

4.   การติดเชื้อผ่านกระแสเลือด: พบได้น้อย โดยเชื้อแบคทีเรียอาจแพร่กระจายจากส่วนอื่นของร่างกายมายังไตทางกระแสเลือด
อาการที่สำคัญ


อาการของกรวยไตอักเสบมักจะรุนแรงและเกิดอย่างเฉียบพลัน โดยมักมีอาการของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างร่วมด้วย:

กลุ่มอาการ                                 ลักษณะอาการ

อาการทั่วไป/ไข้   ไข้สูง (เกิน 38C), หนาวสั่น, อ่อนเพลีย, ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, อาเจียน
อาการปวด           ปวดหลัง หรือ ปวดบั้นเอว บริเวณสีข้าง (Flank Pain) ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นอาการที่เด่นชัดและแยกจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
อาการทางปัสสาวะ   ปัสสาวะแสบขัด, ปัสสาวะบ่อย, ปวดเบ่ง (รู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลา), ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นหรือมีสีขุ่น, บางรายอาจมี หนองหรือเลือดปนมากับปัสสาวะ


การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัย จะทำโดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย (มักพบอาการปวดเมื่อเคาะเบา ๆ บริเวณสีข้าง) และที่สำคัญคือ การตรวจปัสสาวะ เพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย เม็ดเลือดขาว และหนอง


การรักษา ต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันภาวะไตถูกทำลาย:

•   ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): เป็นการรักษาหลัก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อแบคทีเรียที่พบ
o   กรณีไม่รุนแรง: อาจรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องประมาณ 7-14 วัน
o   กรณีรุนแรง/มีไข้สูง/อาเจียนมาก: อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้ยาปฏิชีวนะและน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ เพื่อลดอาการแทรกซ้อน


การป้องกัน

สามารถลดความเสี่ยงการเกิดกรวยไตอักเสบได้ โดยการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ:
•   ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: เพื่อช่วยชะล้างแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ
•   ไม่กลั้นปัสสาวะ: ควรรีบปัสสาวะทันทีที่รู้สึกปวด
•   สุขอนามัยที่ดี (ในผู้หญิง): เช็ดทำความสะอาดอวัยวะเพศจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอหลังการขับถ่าย เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ
•   ปัสสาวะทั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์: เพื่อช่วยขับแบคทีเรียออกจากท่อปัสสาวะ