มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัย ผ้ากันไฟ

[siritidaphon]

มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัย ผ้ากันไฟ

เมื่อพูดถึงมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับผ้ากันไฟ สิ่งสำคัญคือต้องแยกประเภทของผ้ากันไฟและการใช้งาน เพราะมาตรฐานจะแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์และประเภทของผลิตภัณฑ์ ดังนี้ครับ:

1. มาตรฐานสำหรับผ้าห่มกันไฟ (Fire Blankets)
ผ้าห่มกันไฟมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้ในการดับเพลิงขนาดเล็กโดยการตัดออกซิเจน หรือใช้คลุมตัวเพื่อป้องกันความร้อน/เปลวไฟขณะอพยพ

EN 1869 (European Standard): เป็นมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดสำหรับผ้าห่มกันไฟทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป มาตรฐานนี้จะกำหนดคุณสมบัติของวัสดุ, ขนาด, การออกแบบ, การทดสอบประสิทธิภาพการดับไฟ (โดยเฉพาะไฟ Class F/K หรือไฟจากน้ำมัน/ไขมัน), และวิธีการบรรจุหีบห่อ รวมถึงคำแนะนำในการติดตั้งและการใช้งาน
BS EN 1869:2019: เป็นมาตรฐานฉบับปรับปรุงล่าสุดของอังกฤษที่อ้างอิง EN 1869


2. มาตรฐานสำหรับผ้ากันไฟ/หน่วงไฟสำหรับสิ่งทอและวัสดุตกแต่ง (Flame Retardant Fabrics/Textiles for Furnishings & Drapes)
มาตรฐานกลุ่มนี้จะเน้นไปที่การทดสอบว่าผ้าจะติดไฟยากแค่ไหน, ลามไฟช้าแค่ไหน, ดับเองได้หรือไม่, และไม่ก่อให้เกิดควันหรือก๊าซพิษในปริมาณมาก ซึ่งใช้กับผ้าม่าน, ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์, ผ้าปูที่นอน, หรือสิ่งทอตกแต่งอื่นๆ

NFPA 701 (National Fire Protection Association - USA): Standard Methods of Fire Tests for Flame Propagation of Textiles and Films.
เป็นมาตรฐานที่สำคัญมากในสหรัฐอเมริกา ใช้ทดสอบคุณสมบัติการไม่ลามไฟของสิ่งทอและฟิล์มที่ใช้ในอาคารสาธารณะ, ผ้าม่าน, มู่ลี่, ฉากกั้น, หรือวัสดุตกแต่งที่แขวนในแนวดิ่ง
มีการทดสอบหลายส่วน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและลักษณะการใช้งานของผ้า เช่น NFPA 701 Test 1 (สำหรับผ้าที่มีน้ำหนักเบา) และ Test 2 (สำหรับผ้าที่มีน้ำหนักมากกว่า)
BS 5867 (British Standard): Specification for fabrics for curtains and drapes.
เป็นมาตรฐานของอังกฤษสำหรับผ้าม่านและผ้าจับจีบ กำหนดคุณสมบัติการไม่ลามไฟหลังจากการซักล้างซ้ำๆ (durability of flame retardancy) มีหลายส่วนและหลายระดับการทดสอบ เช่น Type B และ Type C (ซักได้ถาวร)
BS 5852 (British Standard): Methods of test for assessment of the ignitability of upholstered seating by smouldering and flaming ignition sources.
มาตรฐานนี้ใช้ทดสอบการติดไฟของผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ โดยจำลองแหล่งกำเนิดประกายไฟต่างๆ เช่น บุหรี่ที่ติดไฟ หรือเปลวไฟขนาดเล็ก
EN 1021 (European Standard): Furniture - Assessment of the ignitability of upholstered furniture.
มาตรฐานยุโรปสำหรับเฟอร์นิเจอร์บุผ้า ซึ่งคล้ายกับ BS 5852 โดยทดสอบการติดไฟด้วยแหล่งกำเนิดประกายไฟต่างๆ
California Technical Bulletin 117 (CA TB 117 - USA):
เป็นมาตรฐานของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ใช้ทดสอบการติดไฟของวัสดุบรรจุภายใน (filling materials) ของเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์


3. มาตรฐานสำหรับผ้ากันไฟ/หน่วงไฟสำหรับชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE - Personal Protective Equipment)
มาตรฐานกลุ่มนี้จะใช้กับเสื้อผ้าหรือชุดที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องบุคลากรจากความร้อนและเปลวไฟ (เช่น ชุดช่างเชื่อม, ชุดดับเพลิง, ชุดป้องกันไฟวาบ)

NFPA 2112 (USA): Standard on Flame-Resistant Garments for Protection of Industrial Personnel Against Flash Fire.
เป็นมาตรฐานสำหรับชุดกันไฟที่ใช้ในอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซ) เพื่อป้องกันไฟวาบ (Flash Fire)
EN ISO 11612 (European Standard): Protective clothing - Clothing to protect against heat and flame.
เป็นมาตรฐานยุโรปที่กว้างขวางครอบคลุมชุดป้องกันความร้อนและเปลวไฟทั่วไป รวมถึงการป้องกันความร้อนจากรังสี, การพาความร้อน, หรือของเหลวโลหะร้อน
EN 469 (European Standard): Protective clothing for firefighters - Performance requirements for protective clothing for firefighting activities.
มาตรฐานสำหรับชุดดับเพลิงของนักดับเพลิงอาชีพ ซึ่งมีข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพที่เข้มงวดสูงมาก


4. มาตรฐานสำหรับผ้ากันสะเก็ดไฟ/ผ้าคลุมสำหรับงานเชื่อม (Welding Blankets/Curtains)
ผ้ากันไฟกลุ่มนี้มักใช้ในงานก่อสร้างหรืออุตสาหกรรมเพื่อป้องกันสะเก็ดไฟจากงานเชื่อมหรือตัด

มาตรฐานสำหรับผ้ากลุ่มนี้มักจะอ้างอิงคุณสมบัติของวัสดุที่ทนความร้อนสูง เช่น ใยแก้ว (Fiberglass) หรือใยซิลิกา (Silica Fiber) และอาจมีการทดสอบความต้านทานต่อสะเก็ดไฟโดยเฉพาะ (เช่น การทดสอบการทะลุผ่านของสะเก็ดไฟ) แม้จะไม่มีมาตรฐานเฉพาะเท่าผ้าห่มดับเพลิง แต่ก็มักจะระบุคุณสมบัติการทนความร้อนตามมาตรฐานวัสดุที่ใช้

สิ่งสำคัญ: เมื่อเลือกซื้อผ้ากันไฟ ควรสอบถามผู้ขายถึงมาตรฐานที่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้รับการรับรอง และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามาตรฐานนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้งานและความเสี่ยงในพื้นที่ของคุณครับ