all new mitsubishi triton 2024: Mitsubishi Triton 2019 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ปรับดีไซน์ไฉไลก่อนหน้านี้ เรามีโอกาสสัมผัส Mitsubishi Triton 2019 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ กันแบบสั้นๆ หลังจากการเปิดตัว คราวนี้เราได้ลองขับกันแบบยาวๆ กันที่ จ.เชียงใหม่ บอกคำเดียวเลยว่าเป็นรถกระบะที่มองข้ามไม่ได้จริงๆ
Mitsubishi Triton 2019 โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 ก่อนจะถูกจัดแสดงในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปในปีเดียวกัน ซึ่งสร้างปรากฏการณ์การตอบรับอย่างล้นหลาม และมีผู้แสดงความคิดเห็นทั้งในเว็บไซต์และแฟนเพจของ Sanook! Auto เป็นจำนวนมาก
สำหรับรถที่เราได้รับทดสอบครั้งนี้ เป็นรุ่น Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุด มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,099,000 บาท
มิตซูบิชิ ไทรทัน 2019 ถือเป็นการปรับบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ ด้วยดีไซน์ด้านนอกใหม่หมดจดทั้งหน้าและหลัง เน้นสไตล์การออกแบบ Dynamic Shield อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิไปแล้ว ขณะที่ด้านท้ายถูกออกแบบไฟท้าย LED ใหม่ เมื่อเปิดไฟยามค่ำคืน จะมีดีไซน์คล้ายกับที่พบใน Pajero Sport
อุปกรณ์มาตรฐานของ Mitsubishi Triton 2019 รุ่นท็อปสุดดังกล่าว ประกอบด้วย ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ Bi-LED พร้อมระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ ซึ่งมีมาให้ตั้งแต่รุ่น GLS M/T เลยด้วยซ้ำไป, ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้า, ไฟท้าย LED, กระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้า ตกแต่งด้วยโครเมียมและไฟเลี้ยว, ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/60 R18
ภายในห้องโดยสารของ Triton ไมเนอร์เชนจ์ มีการเพิ่มเติมอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ซึ่งไม่มีในรุ่นที่แล้ว ได้แก่ ช่องเป่าลมสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (Rear Air Circulator) ซึ่งเป็นการนำเอาลมเย็นจากช่องแอร์ด้านหน้ามากระจายไปทางด้านหลังอีกทีหนึ่ง พร้อมปุ่มสวิตช์ปรับแรงลมที่ยอมรับเลยว่า ออกแบบมาได้สวยงาม ไม่ดูก๊องแก๊งเหมือนกับรถจากฝั่งญี่ปุ่นอีกหลายรุ่น
นอกจากนี้ ยังถูกออกแบบให้มีช่องวางของอเนกประสงค์ พร้อมพอร์ต USB สำหรับชาร์จไฟโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับการชาร์จมือถือทิ้งไว้
ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ในรุ่น 2.4 GT Premium 6AT ได้แก่ เบาะนั่งหุ้มวัสดุหนังสลับหนังสังเคราะห์ ปรับไฟฟ้าฝั่งผู้ขับได้ 8 ทิศทาง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ 4 ก้าน ปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้, กุญแจ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ เป็นต้น
ด้านระบบเครื่องเสียงเป็นแบบหน้าจอสัมผัสขนาดมาตรฐาน 2DIN รองรับ CD/DVD ได้ พร้อมระบบนำทางในตัว มี Bluetooth สำหรับการสนทนาโทรศัพท์และฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือได้ มีพอร์ต USB ให้ทั้งหมด 3 จุด และขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 6 จุด รอบคัน ซึ่งคุณภาพเสียงอยู่ในระดับพอฟังได้ ไม่ถึงกับดีเลิศนัก
Mitsubishi Triton 2019 ไมเนอร์เชนจ์ มีการเพิ่มระบบความปลอดภัยขั้นสูงเข้ามา ได้แก่
Forward Collision Mitigation System (FCM) - ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมช่วยชะลอความเร็ว
Ultrasonic Misacceleration Mitigation System (UMS) – ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงขณะที่มีกีดขวาง
Blind Spot Warning with Lane Change Assist (BSW with LCA) – ระบบเตือนจุดอับสายตาและเตือนขณะเปลี่ยนเลน
Rear Cross Traffic Alert (RCTA) – ระบบเตือนรถเคลื่อนผ่านขณะถอยหลัง
Automatic High Beam (AHB) – ไฟสูงอัตโนมัติ
ซึ่งทั้งหมดนี้มีให้เฉพาะรุ่นที่ลงท้ายว่า Premium เท่านั้น (ยกเว้นระบบ UMS จะมีเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น ไม่มีในรุ่นเกียร์ธรรมดา)
ระบบความปลอดภัยมาตรฐานอื่นๆ ประกอบด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยหัวเข่าผู้ขับ, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวและป้องกันล้อหมุนฟรี Active Stability and Traction Control (ASTC), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control (HDC), เซ็นเซอร์ช่วยกะระยะหน้า-หลัง, กล้องมองภาพรอบคัน, เข็มขัดนิรภัย 3 จุดทั้ง 5 ที่นั่ง และระบบไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ Emergency Stop Signal System (ESS) เป็นต้น
ขุมพลังของ Mitsubishi Triton 2019 ไมเนอร์เชนจ์ ยังคงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร พร้อมระบบ MIVEC ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 181 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และสามารถเลือกรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ Super Select 4WD II พร้อม Rear Differential Lock ได้
จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Super Select 4WD II อยู่ที่การเพิ่มปุ่ม Off-Road Mode ที่ประกอบด้วย 4 ฟังก์ชั่นการขับขี่ตามสภาพถนน ได้แก่ Gravel, Mud/Snow, Sand และ Rock ซึ่งจะมีการปรับการทำงานของระบบควบคุมเสถียรภาพและระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เพื่อให้เหมาะสำหรับสภาพถนนแต่ละแบบอัตโนมัติ
สำหรับเส้นทางการทดสอบครั้งนี้ เราได้สัมผัสทั้งรูปแบบออนโรดและออฟโรด รวมถึงเส้นทางขึ้นเขาดอยอินทนนท์ด้วย
ในด้านการขับขี่นั้น Mitsubishi Triton 2019 ไมเนอร์เชนจ์ยังคงรักษาความดีงามของอัตราเร่งจากเครื่องยนต์ได้ดีเช่นเดิม แรงบิดมาตั้งแต่ในรอบต้น ไม่มีอาการรอรอบเหมือนกับคู่แข่งบางเจ้าที่เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ดีเซลบล็อกเล็ก ขณะที่แรงบิดช่วงกลางก็มีมาให้อย่างเหลือเฟือ ทั้งการเร่งออกจากจุดหยุดนิ้ง และการเร่งแซงทำได้ทันใจ จนเรียกได้ว่าเป็นกระบะที่ให้พละกำลังดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้
ขณะที่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ก็ยังถ่ายทอดกำลังได้อย่างนุ่มนวลและลื่นไหล ไม่จำเป็นต้องไปคบหาเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ใน Pajero Sport ที่มีต้นทุนสูงกว่าใดๆ ทั้งสิ้น
ด้านการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง ยังคงเก็บเสียงจากพื้นถนนและเสียงลมได้ดีมาก แม้ว่าจะใช้ความเร็วราว 120 กม./ชม. ก็ยังมีเสียงแทรกเข้ามาได้น้อย นอกจากจังหวะที่ปะทะลมแรงๆ จึงจะพอมีเสียงจากด้านข้างเข้ามาให้ได้ยินนิดหน่อย แต่โดยรวมถึงว่าเป็นห้องโดยสารที่เงียบ ทำให้การขับขี่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นด้วย
สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อยู่ที่ช่วงล่างที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลขึ้นจากเดิมอีกนิดหน่อยพอให้สัมผัสได้ จากรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่ให้ความรู้สึกค่อนข้างกระด้างมากกว่านี้ โดยรวมแล้วทำให้รู้สึกนั่งสบายขึ้นอีกนิด (แต่ก็นิดเดียวจริงๆ)
สรุป Mitsubishi Triton 2019 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ เป็นการลบข้อติในด้านดีไซน์การออกแบบจากรุ่นที่แล้ว มาสู่ความโฉบเฉี่ยว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และทำให้ลูกค้าหันเข้ามามองแบรนด์มิตซูบิชิได้มากขึ้น โดยยังคงรักษาสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังจากเครื่องยนต์, ช่วงล่าง, อุปกรณ์มาตรฐานภายในห้องโดยสารมีให้อย่างมากมาย รวมถึงราคาจำหน่ายที่ให้ความ “คุ้มค่า” มากที่สุดรุ่นหนึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่ง จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับใครที่กำลังมองหารถกระบะในขณะนี้ครับ
ราคาจำหน่ายรุ่นที่ใช้ทดสอบ Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT-Premium 6AT อยู่ที่ 1,099,000 บาท