ผู้เขียน หัวข้อ: อธิษฐานบารมี  (อ่าน 675 ครั้ง)

anyaha

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 19
  • จำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรมและสินค้าอุตสาหกรรม
    • ดูรายละเอียด
อธิษฐานบารมี
« เมื่อ: วันที่ 9 กันยายน 2023, 03:30:05 น. »
อธิษฐานบารมี คําว่าอธิษฐาน เป็นคุณธรรม


คุณธรรม หมายถึง ทําแล้วดี มีคุณ มีประโยชน์ ถ้าทําได้ แล้วจะสั่งสมในใจเกิดเป็นบารมี - อธิษฐาน คือ ตั้งใจไว้เพื่อจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ตั้งความปรารถนาไว้ เรียกว่า อธิษฐาน อธิษฐานอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ อธิษฐานหลายอย่างก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น พระนางเขมาซึ่งเป็นมเหสีรองของพระเจ้า พิมพิสารในอดีตท่านอธิษฐานไว้ให้ได้เป็นพุทธสาวิกา หนึ่งอย่าง และอธิษฐานให้มีความยอดเยี่ยม (เอตทัคคะ) ทางด้านปัญญา ด้วย พอหลังจากได้ปฏิบัติธรรมสําเร็จเป็นอรหันต์ ได้เป็น พุทธสาวิกาจริง และมีปัญญาเป็นเลิศจริง นี่อธิษฐานสองอย่าง ก็ได้ พระอานนท์อธิษฐาน ๕ อย่าง สุดแท้แต่ใครจะอธิษฐาน มากหรือน้อย
ไม่ต้องดูใคร ดูที่อดีตของพระนางพิมพา (ยโสธรา) ตอน ที่นางเจอพระพุทธเจ้าทีปังกร (พระพุทธเจ้ามีมาหลายองค์แล้ว ก่อนพระพุทธเจ้าทีปังกรก็มี) ตอนนั้นนางมีชื่อว่าสุมิตตาไป เจอสุเมธฤาษี พระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จผ่านในบริเวณที่มีหลุม โคลนเฉอะแฉะ สุเมธฤาษีเอาตัวทาบลงนอนให้พระพุทธเจ้า และสาวกเดินผ่านนางรู้ทันทีเลยว่าสุเมธฤาษีปรารถนาพุทธภูมิ นางจึงอธิษฐานให้ได้เป็นบาทบริจาริกาจากพระพุทธเจ้าทีปังกร มาจนถึงพระพุทธโคดม ผ่านพระพุทธเจ้ามา ๒๕ พระองค์ นาง อธิษฐานเรื่องยาก ถ้าอธิษฐานให้สําเร็จอรหันต์จะง่ายกว่า อธิษฐานเป็นโสดาบันบุคคลง่ายกว่า อธิษฐานให้มีดวงตาเห็น ธรรมง่ายกว่า ตั้งปรารถนาเพื่อสําเร็จสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อเราตั้งใจแล้ว คิดแล้ว มันก็ได้สั่งสมในใจ เป็นอธิษฐานบารมี บารมี เป็นธรรมะที่ทําให้เป็นเลิศ ใครมีบารมีคนนั้นเป็น เลิศได้ หรือหมายถึงคุณสมบัติที่ทําให้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้จะถาม ว่าทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้มีบารมีหรือไม่? ตอบว่าต้องมี ต้องมีบารมีจึงจะเกิดเป็นมนุษย์ แต่จะมีมากมีน้อยเป็นอีก เรื่องหนึ่ง แต่ทุกคนต้องมีบารมีชาวธิเบตบอกว่าบารมีหมายถึง ธรรมะที่ทําให้ถึงฝั่ง คือมีบารมีจึงจะเข้านิพพานได้ เพราะฉะนั้น อธิษฐานเป็นบารมีตัวหนึ่ง บารมีเกิดขึ้นได้อย่างไร

 เกิดจากการคิด การพูด การกระทําของเราเอง คุณธรรม ๑๐ ตัว เมื่อคิดพูดทําแล้วจะสั่งสมเป็นบารมี

๑. ทานคือการให้
ให้อะไรก็แล้วแต่ การให้เป็นสิ่งดี ถ้าให้ไม่ดีไม่ใช่บารมี จะให้วัตถุเป็นทาน ให้อภัยเป็นทาน ให้ปัญญาเป็นทาน ให้ โอกาสเป็นทาน ทานต่างๆ เหล่านี้เมื่อทําแล้ว จะสั่งสมในใจ ของผู้กระทํา เกิดเป็นบารมี
๒. ศีล
เป็นฆราวาสแค่ศีล ๕ ข้อก็พอ คําว่าศีล ๕ ข้อ เพียงแค่รู้ อย่างเดียวแต่ไม่มีศีลก็ไม่ได้ คําว่าศีล ๕ ใครศึกษาอภิธรรมจะ บอกว่า เป็นเครื่องที่สํารวมกายกับวาจา แต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติ แล้วศีลทั้ง ๕ ข้อ ไม่คุมใจปฏิบัติไม่ได้มรรคผล ศีลต้องคุมใจ ลึกถึงใจทุกขณะตื่น เรามีศีล ๕ อยู่ในใจ ไม่ใช่แค่ศีล ๕ ข้อ ยังหยาบไป จะให้ปฏิบัติธรรมได้เร็ว ต้องมีกุศลกรรมบท ๑๐ ฟังดูแล้วมันยาก อธิบายง่ายๆ ว่าคือศีล ๕ นั้นแหละ เพียง แต่ว่ากายเป็นศีล หากมีกายเป็นศีลคือ
• ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน
อย่างไข้หวัดนกระบาดแล้ว ฆ่าไก่เราเห็นในจอโทรทัศน์ เขาทําบาป มันเรื่องของเขานะ ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเราเห็นดี ด้วยปฏิบัติธรรมไม่ขึ้นหรอก เขาทํามันเรื่องของเขา เราต้องไม่ เห็นดีด้วย เพราะเขาเบียดเบียน บางที่ใส่ถุงยังดิ้น ขลุกขลักๆ ทิ้งไปในหลุมแล้วเอาดินกลบ ถ้านักปฏิบัติเห็นแล้วบอกว่าเขา ทําถูกแล้ว ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้นหรอก เพราะศีลยังพร่อง กายใจ ต้องไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนไม่ทําร้ายถึงจะเป็นการเว้นปาณาติบาต
• ไม่ลักขโมย
นักปฏิบัติธรรมจริงๆ การถือวิสาสะ ถือว่าเป็นสามีภรรยา กัน สามีซื้อยาสีฟันมาใช้ส่วนตัวภรรยาเห็นว่าเป็นของสามี (ใน ทางกฎหมายถือว่าเป็นคนๆ เดียวกัน) เลยหยิบมาใช้โดยไม่ ขออนุญาต ผิดศีล เพราะเขาซื้อมา เขาเป็นเจ้าของ เรื่องมัน ละเอียดน่ะ อันนี้ผิดศีลอทินนาทานเพราะเขายังไม่อนุญาตแล้ว ไปเอามาใช้ ต้องขออนุญาตก่อน ถ้าเขาอนุญาตจึงจะไม่ผิดศีล มันละเอียดขนาดนั้น กฎหมายก็คือกฎหมาย มันเป็น เรื่องโลก อันนี้เป็นเรื่องของธรรมต้องละเอียดเพราะฉะนั้นข้ออทินนาทาน มันละเอียดลึกซึ้งขนาดนี้
• กาเมสุมิฉาจาร
การไม่ผิดลูกเมียเขา ที่เขามีเจ้าของ อย่าไปผิดเป็นหนึ่ง ในเรื่องของกายกรรม ๓
• วจีกรรมข้อมุสาวาท
พูดไม่ตรงความจริง ก็ถือว่ามุสานะ ถ้าเป็นนักปฏิบัติมัน ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น นอกจากไม่ตรงความจริงแล้ว ต้องไม่ หยาบ ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ คําว่าเพ้อเจ้อ คือพูดแล้วไม่เป็น แก่นสาร ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับชีวิตถือว่า เพ้อเจ้อ พูดตลก ก็เสียหาย ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น คนพูดตลกปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น มันละเอียดขนาดนี้ เรื่องมุสาตัวเดียวเมื่อเป็นวจีกรรม ๔ ต้อง ไม่เท็จ ไม่หยาบ ไม่ส่อเสียด และไม่เพ้อเจ้อ
• ส่วนมโนกรรม ๓
ไม่คิดพยาบาทเมื่อเรานั่งปฏิบัติธรรมอยู่ เออ! เดี๋ยว ออกไปได้ จะด่ามัน รับรองปฏิบัติไม่ขึ้น ศีลต้องคุมใจ แค่คิด พยาบาท คิดให้ร้ายก็ไม่ได้ คิดอิจฉาก็ไม่ได้ ละเอียดขนาดนั้น ไม่คิดเอาของที่เขายังไม่อนุญาต แล้วก็มีสัมมาทิฏฐิ คือมี ความเห็นถูก นักปฏิบัติแล้วต้องเป็นแบบนี้
๓. เนกขัมมะ
คือ เอาตัวออกจากกาม ไม่ใช่ตัวอย่างเดียว เอาใจออก จากกามด้วย ตอนที่ผมไปฝึกที่วัดมหาธาตุฯ ผมตั้งใจปฏิบัติ ธรรมเต็มที่ ๓๐ วัน ห้ามใครมาเยี่ยม ห้ามเพื่อนมาเยี่ยม ห้าม ครอบครัวมาเยี่ยม คิดว่าเราตายจากกันไปจากสิ่งร้อยรัด คือ ไม่ให้มีอะไรมาผูกพัน เรียกว่า เนกขัมมะ ออกจากกาม ความหมายของกาม กินอาหารอร่อยๆ ติดใจรสชาติ อาหารก็เป็นกาม ฟังเพลงเพราะแล้วติดใจก็เป็นกาม เห็นภาพ สวยๆ ชอบมาก ภาพวาดอันนี้สวย เสื้อร้านนี้สวย เหล่านี้ก็ เป็นกาม หากยังติดใจในกามจะปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น ต้องมี เนกขัมมะคือเอาใจออกไปจากพวกนี้ให้ได้
๔. ปัญญา
ปัญญาตัวนี้ไม่ใช่ปัญญาที่เรียนทางโลก ปัญญาทางโลก เป็นเพียงสุตมยปัญญากับจินตามยปัญญา อย่างที่ท่านฟังผม เป็นสุตมยปัญญา หรือไปอ่านหนังสือก็เป็นสุตมยปัญญา ส่วน จินตามยปัญญาเป็นการคิดพิจารณา วิเคราะห์วิจัยยังไม่ใช่ ถ้า เป็นปัญญาบารมีตัวนี้ ต้องเป็นภาวนามยปัญญา
ภาวนา คือ พัฒนา เกิดจากจิตที่นิ่งสงบ แล้วปัญญาตัวนี้ เกิดจากใจหรือจิตใจตัวเดียวกัน ปัญญาที่เกิดจากใจ เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ซึ่งปัญญาตัวนี้กับปัญญาทางโลกเป็นคนละ เรื่องกัน มองกันคนละทิศทาง นั่นปัญญาบารมีเป็นปัญญา ที่มาจากใจที่นิ่งสงบ ใจตั้งมั่นเป็นสมาธิจึงจะเป็นปัญญาบารมี ไม่ใช่ว่าเรียนระดับปริญญาเอกมาตั้ง ๓ สาขาวิชาแล้วบอกว่า คนนี้มีบารมีมากไม่ใช่ ทางโลกเขามองอย่างหนึ่งทางธรรมมอง อีกอย่าง ปัญญาทางธรรมต้องมาจากใจที่นิ่ง สงบจึงจะเป็น ปัญญาบารมี ต้องสร้าง ต้องทําด้วยตัวเอง อย่างที่เราไปฝึก กรรมฐาน ฝึกจิตให้นิ่ง ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ปัญญาบารมีก็ จะเกิดขึ้น
๕. วิริยะ
คือ ความเพียร เพียรพยายามทําความดี อย่าทําความชั่ว เพียรจะเขียนบัตรสนเท่ห์ เพียรเขียนด่าเขา นั่นไม่ถูก เพียรในเรื่อง ดีๆ เรื่องที่ถูกต้องตามธรรมเป็นเรื่องดีเช่นเพียรให้ทานเพียรรักษา ศีล เพียรประพฤติเนกขัมมะ เพียรพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง ฯลฯ
๖. ขันติ
คือ อดทน อดกลั้น คือ โสรัจจะ ขันติ คือ เวลาใครเขา ทําสิ่งที่ขัดใจเราแล้วพยายามข่มไว้ อดทนไว้ อย่างเวลานั่งฝึก สมาธิ นั่งฝึกกรรมฐาน ปวดเมื่อยกันทุกคน ต้องใช้ขันติ นั่ง ฟังบรรยายไป เริ่มปวดเริ่มเมื่อย ขยับเขยื้อนนี่ต้องใช้ขันติ ตอน ที่ผู้บรรยายไปฝึกที่วัดมหาธาตุฯ สู้กันสุดฤทธิ์เลย ในที่สุดจึง ได้ขันติบารมีตัวนี้มา ทําอะไรต้องไม่ตามกิเลส ต้องใช้ขันติ อย่างมาก โดยมากผู้ที่มีขันติน้อยเพราะสู้กับกิเลสไม่ไหว นั่งๆ ไปมันง่วงนอน เลยนอนดีกว่า นั่งๆ ไปมันปวดขา เลิกนั่งดีกว่า สวดมนต์ไปง่วงนอน ไปนอนดีกว่า เพราะไม่มีขันติ ขันติเป็น คุณธรรม ถ้าทําได้แล้วเป็นบารมี
๗. สัจจะ
คือ จริงใจจริงวาจา จริงกาย สมมติว่าใจมีสัจจะแล้วกาย ต้องทําตามที่ใจคิด ปากต้องพูดตามที่ใจคิด เพราะฉะนั้นคนที่ มีสัจจะบารมี พูดแล้วฟังไม่ค่อยเพราะ ไม่รื่นหู พระอยู่ป่าบาง องค์ พูดถึงกูแต่ท่านมีสัจจะ มีพระอยู่สํานักหนึ่งสายหนองป่าพง มีคนเข้าไปถามท่าน
เขาถามว่า : หลวงพ่อจะกลับเมื่อไหร่ หลวงพ่อตอบ : เดี๋ยวนี้ยังอยู่ที่นี่
เดี๋ยวนี้ยังอยู่ที่นี่ คืออนาคตบอกไม่ได้ว่าจะไปเมื่อไหร่ ถ้าบอกไปว่าจะไปสิบโมงวันพรุ่งนี้ แล้วถ้าหากไม่ได้ไป จะเสีย สัจจะ ท่านจึงบอกว่าเดี๋ยวนี้ยังอยู่ที่นี่ ท่านจะพูดอย่างนี้เสมอ ไปถามคนที่ถึงธรรม พรุ่งนี้จะไปหรือยัง ยังตอบไม่ได้เดี๋ยวนี้ ยังอยู่ที่นี่ท่านตอบได้แค่นี้เอง แสดงว่าพระรูปนี้มีสัจจะ แค่ถาม แล้วตอบอย่างนี้คนที่เข้าถึงธรรมแล้ว เขาจะรู้ว่าคนนี้มีสัจจะ บารมีสั่งสม คนที่ปากกับใจตรงกันมักจะพูดไม่เพราะ เวลาเรา ฟังคนพูดเพราะๆ แบบดัดจริต (ขอโทษนะ) ปฏิบัติธรรมไม่ ขึ้นหรอก ถ้าปฏิบัติขึ้นต้องตรงไปตรงมา
๘. อธิษฐาน
อธิษฐานต่างกับบนบานอย่างไร คําว่าอธิษฐานเป็นบารมี ตัวหนึ่งคือตั้งความปรารถนาไว้ เพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์ หนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งก็ได้ นี่คืออธิษฐาน อธิษฐานกับบนบาน ต่างกัน ชาวพุทธมักจะชอบบน บนเทวดาบ้าง บนเจ้าที่บ้าง
บนบาน ความหมายคือ คําขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ ในสิ่งที่ตนเองต้องการ เมื่อสําเร็จในสิ่งที่ปรารถนาแล้วจะมีสิ่ง ตอบแทนให้ นี่คือบนบาน ในพุทธศาสนาไม่มีบนบาน เพราะ การบนบานเป็นการฟ้องตัวเองถึงการด้อยศักยภาพของความ เป็นมนุษย์ การบนเทวดา การบนเจ้าที่ ฟ้องตนเองถึงการด้อย ศักยภาพ มนุษย์มีศักยภาพมากกว่าเทวดา เพราะฉะนั้นการ บนบานในพุทธศาสนาจึงไม่มี แต่มีอธิษฐาน
๙. เมตตา
เมตตาคือความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ และมีความสุข เมตตาเป็นคุณธรรม ผู้ใดปฏิบัติได้แล้วจะถูกเก็บ สั่งสม ไว้ในจิตวิญญาณ เป็นเมตตาบารมี การให้อภัยเป็นทาน (อภัยทาน) เป็นบ่อเกิดแห่งเมตตา ผู้มีเมตตาเป็นคนมีอารมณ์ เย็น ไม่หงุดหงิด ไม่โกรธ เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เมื่อเข้าใกล้ผู้มีเมตตาบารมีแล้วมี ความอบอุ่นใจ ผู้มีเมตตาบารมี เมื่อประพฤติปฏิบัติธรรมแล้ว สามารถเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ง่าย
๑๐. อุเบกขา
คือ ปล่อยวาง วางเฉย วางใจเป็นกลาง เรียกว่า อุเบกขา อุเบกขาในวิปัสสนาญาณกับอุเบกขาในฌานเป็นคนละเรื่องกัน และอุเบกขาของคนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเช่น เห็นใครเขา ทําอะไรไม่สนใจ ไม่รับรู้ ไม่รู้เรื่อง นับเข้าเป็นโมหะ ใครเขาว่า อะไร วางใจ อุเบกขาไม่สนใจ คําว่าไม่สนใจคือโมหะ ท่านเจ้า คุณโชดกท่านสอนให้ปฏิบัติสมถกรรมฐาน ให้ทําแต่แรกแล้ว เข้าถึงองค์ฌาน อุเบกขาในฌาน ถ้าเข้าฌาน ๔ ได้มันมี ๒ อารมณ์ คือ อุเบกขากับเอกัคคตา อุเบกขาตัวนี้ใช้กําลังของ ฌานข่มใจไว้ให้เป็นอุเบกขา แต่อุเบกขาในวิปัสสนา ไม่ใช่ มัน ต้องได้จากการที่สติรับกระทบแล้วเห็นอนัตตา จึงปล่อยวาง เป็นอุเบกขาในวิปัสสนา เพราะฉะนั้นอุเบกขาบารมีหมายถึง ตัวนี้ไม่ใช่อุเบกขาที่ใครเขาพูดอะไรใครเขาทําอะไรแล้วไม่สนใจ ตัวนั้นยังไม่ใช่ หรือเข้าฌาน ๔ ได้แล้วบอกว่าเป็นอุเบกขาก็ยัง ไม่ใช่อุเบกขาบารมี
ที่มา หนังสือ อธิษฐานบารมี ดร.สนอง วรอุไร

พระคาถามหาจักรพรรดิ
พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวะลี จะมะหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต
อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

นิทานธรรมชาดกหลวงปู่ทวดดูดวงทำนายฝันนิทานนางกากีนิทานนางพิกุลทองนิทานยอพระกลิ่น
นิทานกระต่ายสามขานิทานกระเช้าสีดานิทานเคราะห์ของตาจันกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ทำไมงูเหลือมไม่มีพิษทำไมเต่ามีกระดอง

https://www.anyapedia.com
https://www.anyapedia.com/p/blog-page.html
https://www.anyapedia.com/p/blog-page_9527.html
https://www.anyapedia.com/p/blog-page_2405.html
https://www.anyapedia.com/p/blog-page_22.html
https://www.anyapedia.com/p/blog-page_4871.html

anyaha

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 19
  • จำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรมและสินค้าอุตสาหกรรม
    • ดูรายละเอียด
Re: อธิษฐานบารมี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: วันที่ 9 กันยายน 2023, 03:36:56 น. »
ฝันพยากรณ์ ทํานายโชคชะตาและตัวเลขจากความฝัน ทำนายฝัน


ศาสตร์อันลี้ลับของความฝัน
พระนันทาจาริย์ปราชญ์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนาผู้แต่ง คัมภีร์สารัตถะสังคหะ และเป็นผู้ยืนยันว่า พระอรหันต์ไม่ฝันด้วย เหตุผลดังว่านั้น ได้ระบุมูลเหตุของความฝันไว้เป็นข้อคิดอยู่ 4 ประการคือ
1. ฝันโดยเป็นบุพนิมิต คือ บอกให้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีเหตุ ดีหรือร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น
2. ความฝันเกิดจากควงจิตที่ฝังพะวงหรือพัวพันอยู่กับ สิ่งหนึ่งก่อนหน้าจะหลับ จึงเก็บเอาสิ่งนั้นมาฝัน
3. เกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเทวดาเพราะเทวดาต้องการให้ โทษหรือให้คุณ
4. ความฝัน เกิดจากธาตุกําเริบ กล่าวคือร่างกายไม่ปกติ ครั้นหลับลงจึงฝันไปในรูปต่าง ๆ

คัมภีร์อธิบายเรื่องฝันของพระนันทาจาริย์เล่มนี้ ครั้งหนึ่ง ได้เคยใช้เป็นหลักสูตรของตําราทางพระพุทธศาสนาแต่ต่อมา สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสได้ทรงยกเลิก และใช้เรื่องอื่นแทน
อย่างไรก็ตาม ความฝันก็เป็นเรื่องที่บรรดานักปราชญ์ หลายชาติได้ให้ข้อคิดเห็นไว้ต่าง ๆ นานา และไม่ถึงกับจะลง ความเห็นว่า ความฝันเป็นเรื่องไร้สาระไปเสียทีเดียวนัก เพราะ นักปราชญ์บางคนก็ถึงกับลงทุนค้นคว้าถึงสมุฏฐานหรือที่มาของ ความฝันกันอย่างเคร่งครัด โดยถือเอาว่า ความฝันเป็นจิตวิทยา อย่างหนึ่งของคนเราที่จะต้องศึกษาไว้ จนถึงกับทําเป็นตําราหรือ วิชาความฝันออกมาด้วยกันหลายเล่ม เป็นตําราที่เขียนขึ้นโดย นักปราชญ์หรือนักจิตวิทยาหลายชนิดและดูเหมือนว่าวิชาเรื่อง ความฝันนี้ จะเป็นตําราที่เก่าแก่กว่าวิชาอื่น ๆ ทั้งหลายในโลกก็ ว่าได้

นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง กล่าวว่า  “วิชาความฝันนั้น เป็นวิชาเก่าเท่ากับตัวโลกเอง”
คํากล่าวเช่นนี้ไม่ผิดนัก เพราะนักปราชญ์หลายคนยืนยัน เป็นเสียงเดียวกันว่าความฝันเป็นสิ่งที่มนุษย์รู้จักและเริ่มสนใจมา ตั้งแต่โบราณกาล และสืบทอดความสนใจในการค้นคว้ามาจน กระทั่งถึงทุกวันนี้ ซึ่งแทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีวิชาใดที่จะมีผู้ค้นคว้า หาความรู้กันมากเท่ากับวิชาความฝันนี้
เพราะตามบันทึกของ ศาสตราจารย์ ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักปราชญ์ชาวออสเตรียนผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นทั้งนักจิตวิทยา และแพทย์ได้ใช้เวลาในการค้นคว้าหาความจริงในเรื่องความฝันนี้ โดยใช้การรวบรวมเรื่องความฝันนี้เรื่องเดียวว่ามีหนังสือวิชา ความฝันนี้ถึง 700 กว่าเล่ม เป็นภาษาต่าง ๆ ซึ่งมีภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส, อังกฤษ, อิตาเลียน, สเปน, ลาติน, รัสเซีย, และ ฯลฯ และดูเหมือนว่า เยอรมันจะมีหนังสือประเภทนี้ออกมามากที่สุด รองลงไปก็คือ ฝรั่งเศส
ศาสตราจารย์ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ยอมรับว่า ความฝัน เป็นศาสตร์อันลี้ลับอย่างหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์เราที่ สามารถ จะบอกเหตุการณ์ทั้งอดีตและอนาคตได้ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งแม้ว่าจะมีบุคคลอีกหลาย ๆ คนที่ยังไม่ยอมรับและเชื่อถือใน เรื่องชนิดนี้ก็ตาม แต่บุคคลเหล่านี้ก็ไม่อาจสลัดความรู้สึกนึกคิด ในทางผูกพัน กับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนได้ฝันขึ้นทั้งดีและร้ายไป เสียที่เดียวได้นัก
เพราะความฝันบางเรื่องสามารถจะเป็นเหตุให้ผู้ฝันบางคน ได้รู้สิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย และรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง เสียด้วย
ในทางไทยก็ยอมรับว่า ความฝันซึ่งเป็นเครื่องบอกเหตุ การณ์ล่วงหน้า เรียกว่า บุพนิมิต” นั้นมีอยู่จริง เช่น อย่างใน คัมภีร์ หรือตําราทางศาสนาที่อ้างถึง “พระมหาสุบินของ พระพุทธเจ้า และอย่างที่ไทยเราในสมัยยุคประวัติศาสตร์โบราณ เกือบทุกสมัย ก็ยังต้องมีโหรหลวงคอยทําหน้าที่ถวายคําทํานาย พระสุบิน ของพระมหากษัตริย์อยู่ด้วยทุกครั้งเสมอไป

อิทธิพลของตัวเลขในความฝัน
ความฝันของคนเราที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต เช่น มนุษย์ หรือ สัตว์ หรือกับสิ่งของต่าง ๆ ตามตําราทํานายฝันส่วนมากที่ให้ ความหมายของสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวเลข มักจะมีส่วนใกล้เคียงกัน อยู่มาก ซึ่งอาจเกิดจากการสังเกตหรือพิจารณาเอาจากลักษณะ รูปร่าง หรือจุดเด่น หรือลําดับของตัวอักษรของสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ มาเป็นหลักเกณฑ์ โดยใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์มานานหลาย ชั่วอายุคนแล้วก็ได้ จึงสามารถให้ความเชื่อถือต่อการทดลอง เปรียบเทียบในลักษณะที่เรียกว่า ใกล้เคียงหรือมีส่วนตรงกับ เป้าหมายได้เป็นส่วนมาก
เหตุนี้ ผู้เป็นเจ้าของตํารับเดิม จึงได้พยายามถอดเอา สิ่งที่ฝันถึงเหล่านี้ออกมาเป็น เลข" โดยถือเอาว่าเป็น “อิทธิพล อย่างหนึ่งของตัวเลข ที่บันดาลให้เป็นไปในมโนภาพแห่งความฝัน ของคนเรา ซึ่งแม้จะยึดถือเป็นหลักเกณฑ์ตายตัวหรือ “แม่นยํา ทีเดียวนักไม่ได้ แต่ก็เชื่อว่าจะมีส่วนใกล้เคียงกันอยู่บ้าง
จึงขอให้ผู้อ่านที่สนใจลองใช้ความสังเกต หรือลองหัด พิจารณาดูเองบ้าง หากจะผิดพลาดไปจากคําทํานายก็ขอให้ถือว่า เป็นส่วนประกอบในการหาความสนุกหย่อนใจหรือเป็นเครื่อง บันเทิงใจอย่างใดอย่างหนึ่งก็แล้วกัน

หลักทํานายและการใช้วิธีสังเกตจากตํารับโบร่ําโบราณ เดิม มีดังนี้
ถ้าฝันเห็นกษัตริย์, พระราชินี, ประมุข, คนแก่หง่อม สูงอายุ, บิดามารดา, พระพุทธรูปบูชา, พระประธานในโบสถ์ พระแก้วมรกต, ฯลฯ มักจะเป็นเลข 9 (เฉพาะองค์พระราชินีนั้น ถ้าในฝันมีองค์พระราชายืนประทับเคียงข้างให้ถือเป็น 8 และ องค์กษัตริย์เป็น 9 ฉะนั้นเลขนี้จะต้องเป็นเลข 2 ตัว คือ 98 หรืออาจจะเป็น 29 ก็ได้)
ถ้าฝันเห็นไก่, หนู ฯลฯ มักเป็นเลข 1 (ถือเอาว่า ก. ไก่ เป็นพยัญชนะตัวแรก และหนูเป็นปีแรกของปีเกิด หรือปี 12 นักษัตร คือ ชวด แปลว่า หนู)
ถ้าฝันเห็นเสาเรือนโดดเดี่ยว, ไม้ไผ่, ดินสอ, ก้านธูป หรือสิ่งที่เรียวยาว เช่น เส้นเชือกวิ่งตรง, เส้นหมี่ หรือ เสาธง (ไม่มีธง) ก้านไม้ขีด, ไม้บรรทัด, ไม้เรียว, บุหรี่ มักจะเป็นเลข 1
ถ้าฝันเห็นคนตาย, ศพ หรือโลงศพ มักจะเป็นเลข 4 (ในทางอิทธิพลของตัวเลขนี้ว่าเลข 0 แทน 4 หรือ 4 แทน 0 ได้ ฉะนั้นจึงเป็น 4 หรือ 0 ได้)
แต่ถ้าฝันเห็นคนที่ตายไปแล้วเป็นคนแปลกหน้าและเป็น "ผี" ในฝัน มักเป็นเลข 6 (ซึ่งแปลความหมายว่า ผีหลอก" คือ “ผีโกหก" คําว่าหลอกหรือโกหกจึงเท่ากับ 6)
ถ้าฝันเห็น หีบ ห่อ, กระเป๋าเดินทาง, โต๊ะ, เก้าอี้, เตียงนอน, วิทยุ หรือ สมุดหนังสือ หรือวัตถุสิ่งของที่มีรูปสี่เหลี่ยม มักจะเป็นเลข 4
ถ้าฝันเห็นกระแสน้ํา หรือ น้ํา มักเป็นเลข 2 (ถือเอา ลําดับจากธาตุทั้ง 4 คือ 1. ดิน 2. น้ํา 3. ลม และ 4. ไฟ เพราะฉะนั้นถ้าฝันเห็นดิน ก็มักตรงกับเลข 1 หรือฝันเห็น ไฟ ก็ มักตรงกับเลข 4)
ถ้าฝันเห็นแว่นตา, ถนนมผู้หญิงทั้งสองข้าง ปาก คน เป็ด, คนกอดอก, ห่วง 2 ห่วงคล้องกัน ฯลฯ มักเป็นเลข 8 (คือ ถือเอาตามลักษณะและอักษรเช่นแว่นตามีวงกลม2วงต่อเนื่องกัน หรือนมสองข้าง ส่วนคําว่าปากและเป็ด ถือเอาตัวอักษร ป. เป็นความหมายของคําว่าแปด)
ถ้าฝันเห็นนก มักเป็น เลข 6 ทั้งนี้ไม่ถือตามตัวอักษร น. เป็น 1 แต่ถือเอาการออกเสียง “นก” ใกล้เคียงกับ หก หรือถือว่า นก คือ “วิหค” ก็ได้
ถ้าฝันเห็นเรือ มักเป็นเลข 5 (ตามความสังเกตว่า ร. เรือ มีลักษณะคล้ายตัวเลขอารบิคเลข 5 ก็ได้)
ถ้าฝันเห็นผู้หญิงในวัยสาวถึงกลางคน มักเป็นเลข 5 แต่ถ้าฝันเห็นหญิงคนท้อง มักเป็นเลข 6 หญิงแก่ชราหรือมารดา มักเป็น เลข 9
ถ้าฝันเห็นพลับพลา, บ้านเรือน, อาคาร, หรือหลังคาบ้าน มักเป็น เลข 7
ถ้าฝันเห็นวงแหวน, กําไลมือ, หลุมหรือบ่อหรือวัตถุที่มี ลักษณะเป็นวงกลม หรือกลอง มักเป็นเลข 0 (บางตําราว่าแหวน มักจะตรงกับ เลข 6 ซึ่งอาจถือเอาคําว่า ว.แหวน มีลักษณะ คล้ายเลข 5 ของไทยก็ได้)
ถ้าฝันเห็นสามง่าม, คราด, ส้อม ช้อน, คทา, รถสามล้อ, จั่วหลังคา มักเป็น เลข 3
ถ้าฝันเห็นจิ้งจก, ตุ๊กแก, จรวด, เจว็ดศาล, จอบ มักเป็น เลข 7 (ถือเอาตามตัวอักษร จ. อยู่ในคําว่าเจ็ด ส่วนตุ๊กแกนั้นถือ เอาไม้ตรี () มีลักษณะเป็นเลข ๗ ของไทย)
ถ้าฝันเห็นวัวควาย, สุนัข, เรือ หรือสัตว์ 4 เท้า ส่วน มากมักเป็นเลข 4 แต่ให้สังเกตว่า ถ้าเป็นสัตว์ที่อยู่ใน 12 นักษัตรของปีเกิด คือปีชวด-ปีกุน ให้ถือ ชวด (หนู) 1, ฉลู (วัว) 2, ขาล (เสือ) 3, เถาะ (กระต่าย) 4, มะโรง (งูใหญ่) 5. มะเร็ง (งูเล็ก) 6. มะเมีย (ม้า) 7, มะแม (แพะ) 8. และวอก (ลิง) 9. ส่วนระกา (ไก่) เป็น 1 หรือ 10, จอ (สุนัข) เป็น 11 หรือ 4 กุน (หมู) เป็น 12 หรือ 4
ถ้าฝันเห็นแก้วน้ํา, แก้ว, เพชรพลอย มีค่ามักเป็น เลข 9
ถ้าฝันเห็นเบ็ดตกปลา (ตัวเบ็ด) ไม้เท้าถือ (มีหัวโค้งงอ เหมือนรูปตัว j) คันร่ม หรือสะพานโค้งมักเป็นเลข 6
ถ้าฝันเห็นกางเกง, เสื้อ, ตะเกียบทั้งคู่ รางรถไฟ และ รองเท้า (ทั้งคู่) มักจะเป็นเลข 2 (ถือเอาว่าสิ่งเหล่านี้มีเลขเป็นคู่ คือ 2 เช่น กางเกงมี 2 ขา หรือรองเท้าต้องมีคู่หรือ 2 ข้าง)
ถ้าฝันเห็นงูใหญ่ หรือพญานาค (ตามที่เข้าใจในฝัน) มัก จะเป็นเลข 5 คือถือเอาลําดับในปีเกิด 12 นักษัตร ถ้าฝันเห็นงูเล็ก ๆ หรืองูธรรมดาทั่วไป มักเป็นเลข 6 (ถือปี 12 นักษัตร เช่นเดียวกัน)
ถ้าฝันเห็นมือหรือเท้า มักเป็นเลข 5 (ถือเอาว่ามี 5 นิ้ว) แต่ถ้าฝันเห็นแขน หรือขา มักเป็น 2 (ถือเอาว่ามนุษย์เรามี 2 แขน 2 ขา) แต่ถ้าฝันเห็นมือ ในลักษณะกําแน่นหรือกําหมัด หรือกําปั้น มักเป็นเลข 6 หรือ 9 และถ้าฝันเห็น “มือจับ” เช่น จับปลา จับสิ่งของ ถือเอาลักษณะของการ “จับ” เป็นเลข 7 เช่น จับปลา ก็จะต้องเป็น 87 หรือ 78 เพราะปลาเข้าในลักษณะของเลข 8
ถ้าฝันเห็นว่าวจุฬา มักเป็นเลข 5 เพราะมีปลายทั้ง 5 คล้ายดาว แต่ถ้าเป็นว่าวปักเป้า ว่าวอีลุ้ม มักเป็นเลข 4 เพราะ เป็น 4 มุม
ถ้าฝันเห็นบันได มักเป็นเลขคี่ คือ 3, 5, 7.9 (เพราะบันได ส่วนมาก จะต้องสร้างขั้นบันไดให้เป็นเลขคี่ ฉะนั้นถ้าฝันสังเกต
ระยะความสูงหรือขั้นบันไดได้ ก็อาจจะมีความหมายเป็นเลขคี่ เลขใดเลขหนึ่งได้ใกล้ชิด)
ถ้าฝันเห็นภูเขาสูงใหญ่ มักเป็นเลข 9 ถ้าฝันเห็นจอมปลวก หรือตัวปลวก มักเป็นเลข 8
ถ้าฝันเห็นอุจจาระ หรือ ขี้ มักเป็นเลขคี่ (แต่ต้องสังเกต ว่า จํานวนของก้อนขึ้นั้นมากหรือน้อย แล้วตีความหมายให้ ใกล้เคียงเช่น จํานวนก้อน 2 ก้อน ก็อยู่ในราวเลข 1, หรือ 3 แต่ ถ้ามากก็ตีความหมายเป็น 5 หรือ 7 ได้ อย่าให้ถึง 9)
ถ้าฝันเห็น หมวก, มงกุฎ, ชฎา, ธงปักปลายยอด มัก เป็นเลข 9 (คือ ถือว่าเป็นของอยู่สูง)
ถ้าฝันเห็นกุ้ง มักเป็น 9 ถ้าฝันเห็นรวมกับปลาก็ต้อง ตีความหมายว่า 98
ถ้าฝันเห็นเต่า, ตะพาบ มักเป็น เลข 4 บางตําราว่าเลข 3 คือถือว่าตัวอักษร ต. ใกล้เคียงกับเลข ๓ ของไทย
ที่ยกมานี้ เป็นแนวทางตัวอย่างของอิทธิพลตัวเลขแทน สิ่งต่าง ๆ ในฝันตามเหตุผลของเจ้าของตํารับเดิมแต่โบราณกาลมา ซึ่งท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามที ก็ลองพิจารณสังเกตเอาตามที่ท่าน ฝันดูสัก 2-3 ครั้ง บางที่จะช่วยให้ท่านมีประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นบ้าง



ฝันเห็นงูฝันเห็นงูสีขาวฝันเห็นงูเหลือมฝันเห็นงูเหลือมตัวใหญ่ฝันเห็นงูเหลือมสีทองฝันเห็นงูใหญ่
ฝันเห็นงูตัวใหญ่ฝันเห็นงูหลายตัวฝันเห็นงูลายฝันเห็นงูเขียวฝันเห็นงูเห่าฝันเห็นงูจงอาง
ฝันเห็นงูจงอางยักษ์ฝันเห็นงูจงอางเข้าบ้านฝันเห็นงูจงอางหลายตัวฝันเห็นงูจงอางกัดฝันเห็นงูจงอางเผือกฝันเห็นงูจงอางชูคอ
ฝันเห็นงูจงอางตัวใหญ่มากฝันเห็นงูจงอางตัวใหญ่สีดำฝันเห็นงูแมวเซาฝันเห็นงูหลามฝันเห็นงูตัวสีฟ้าฝันเห็นงูตัวสีดำ
ฝันเห็นงูตัวสีแดงฝันเห็นงูสีทองฝันเห็นงูหลายตัวฝันเห็นงูสองตัวฝันเห็นงูเผือกฝันเห็นงูหลาม
ฝันเห็นงูตัวใหญ่มากฝันเห็นงูตัวใหญ่สีดำฝันเห็นงูตัวใหญ่หลายตัวฝันเห็นพญานาคฝันเห็นพญานาคตัวใหญ่ฝันเห็นพญานาคสีทอง
ฝันเห็นพญานาคสีเขียวฝันเห็นพญานาคสีแดงฝันเห็นพญานาคเล่นน้ำฝันเห็นพญานาคไล่ตามฝันเห็นหงอนพญานาคฝันเห็นพญานาคสีเงิน
ฝันเห็นพญานาคหลายตัวฝันเห็นพญานาคพูดได้ฝันเห็นพญานาคพ่นน้ำฝันว่างูรัดฝันว่างูกัดฝันว่างูกัดขา
ฝันว่างูกัดเท้าฝันว่าฆ่างูฝันว่าตีงูฝันว่างูเลื้อยผ่านฝันว่างูกัดแขนฝันว่างูกัดนิ้ว
ฝันว่างูไล่กัดฝันว่างูฉกฝันว่ากินงูฝันว่าจับงูฝันว่างูเลื้อยขึ้นตัวฝันว่างูรัดขา
ฝันว่างูรัดแขนฝันว่างูรัดตัวฝันว่างูรัดขาขวาฝันว่างูรัดขาซ้ายฝันว่างูรัดแขนขวาฝันว่างูรัดแขนซ้าย

https://www.anyapedia.com
https://www.anyapedia.com/p/blog-page.html
https://www.anyapedia.com/p/blog-page_9527.html
https://www.anyapedia.com/p/blog-page_2405.html
https://www.anyapedia.com/p/blog-page_22.html
https://www.anyapedia.com/p/blog-page_4871.html