แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 95
1
Doctor At Home: เนื้องอกประสาทหู (Acoustic neuroma)

เนื้องอกประสาทหู (acoustic neuroma หรือ vestibular schwannoma) เป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายที่กำเนิดมาจากเส้นประสาทหู (ส่วนที่มีชื่อว่า vestibular nerve) ซึ่งอยู่ติดชิดกับสมองภายในกะโหลกศีรษะ (บริเวณ cerebello-pontine angle) ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก แต่จัดว่าเป็นเนื้องอกที่พบได้บ่อยที่สุดของเนื้องอกของปลอกประสาท(nerve sheath)ภายในกะโหลกศีรษะ

เนื้องอกประสาทหูแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดไม่ทราบสาเหตุ (พบร้อยละ 95 ของเนื้องอกประสาทหู พบบ่อยในคนอายุ 40-60 ปี และมักเป็นข้างเดียว) และนิวโรไฟโบรมาโทซิสชนิดที่ 2 (neurofibromatosis type 2 หรือ bilateral vestibular schwannoma   ซึ่งพบร้อยละ 5 ของเนื้องอกประสาทหู พบบ่อยในคนอายุ 18-24 ปี วัยรุ่นตอนปลายและวัยหนุ่มสาวตอนต้น มักเป็น 2 ข้าง)


สาเหตุ

เนื้องอกประสาทหูชนิดไม่ทราบสาเหตุ เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน พบว่าบางรายอาจมีประวัติได้รับรังสีขนาดสูงที่บริเวณศีรษะและคอมาก่อน และมีความเชื่อว่าการอยู่ในที่ที่มีเสียงดังเป็นระยะยาวนานอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของโรคนี้

     ส่วนนิวโรไฟโบรมาโทซิสชนิดที่ 2  มีความสัมพันธ์กับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ผู้ป่วยส่วนหนึ่งพบว่าเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบยีนเด่น (dominant gene) กล่าวคือ ถ้ามีบิดา หรือมารดา ท่านใดท่านหนึ่งเป็นโรคนี้ บุตรที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคนี้ถึงร้อยละ 50

อาการ

เนื้องอกประสาทหูมีลักษณะโตช้า ใช้เวลาเป็นปี ๆ กว่าจะเริ่มปรากฏอาการ อาการระยะแรก คือ หูตึง (ได้ยินเสียงได้น้อยลง) ซึ่งอาจค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย หรือเกิดขึ้นฉับพลันก็ได้ ร่วมกับมีเสียงดังรบกวนในหู และอาจมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน รู้สึกโคลงเคลงร่วมด้วย

     อาการหูตึงจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องเป็นแรมเดือนแรมปี จนกระทั่งก้อนเนื้องอกโตไปกดเบียดสมองและประสาทข้างเคียง ทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า (ซึ่งมักจะเป็นเพียงซีกเดียว) และมีอาการชาที่ใบหน้าซีกเดียวกัน บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดความผิดปกติอย่างถาวร เช่น หูตึง มีเสียงดังรบกวนในหู เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงและชา 

     ที่สำคัญ คือ เนื้องอกที่โตขึ้นสามารถกดเบียดสมอง ทำให้เกิดภาวะความดันสูงในกะโหลกศีรษะ (มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน) และอาจกดก้านสมองซึ่งควบคุมสัญญาณชีพ (เช่น การหายใจ การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต) การกลืน และความรู้สึกตัว เป็นอันตรายต่อชีวิตได้

          สำหรับโรคนิวโรไฟโบรมาโทซิสชนิดที่ 2 นอกจากภาวะดังกล่าวแล้ว ยังอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ต้อกระจก ตาเหล่ ชัก แขนขาอ่อนแรง และเกิดเนื้องอกชนิดอื่น ๆ (เช่น meningioma, glioma,  schwannoma, astrocytoma) ในสมอง ไขสันหลัง และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย (เนื้องอกเหล่านี้ล้วนเป็นชนิดไม่ร้าย แต่ก็อาจจะกลายเป็นมะเร็งได้โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่มีโอกาสที่พบได้น้อยมาก)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

     ในระยะแรก อาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

     ในระยะหลัง (เมื่อก้อนเนื้องอกโตมากขึ้น) จะพบกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง (ยักคิ้ว หลับตา เม้มปากไม่ได้) แบบอัมพาตเบลล์ ใบหน้าชา ปฏิกิริยาสะท้อนของกระจกตา (corneal reflex) ลดลง (ตรวจโดยใช้สำลีเขี่ยที่กระจกตา ปฏิกิริยาในการหลับตาจะช้ากว่าปกติ) อาจพบอาการเดินเซ

     แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจสมรรถภาพของการได้ยิน (audiometry) การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

     ถ้าก้อนเล็กไม่มีการกดประสาทข้างเคียง ก็ให้การรักษาตามอาการ และติดตามอาการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ

     ถ้าก้อนเนื้องอกโตหรือกดประสาทหลายส่วน แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก

     ถ้าพบในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีข้อห้ามในการผ่าตัด หรือมีขนาดเล็ก (เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 3 ซม.) แพทย์จะทำการรักษาด้วยรังสี เช่น รังสีแกม (ซึ่งเรียกว่า "(gamma knife)", แสงโปรตอน (proton beam) เป็นต้น เพื่อยับยั้งไม่ให้เนื้องอกโตขึ้น ป้องกันการเกิดหูตึงถาวร และรักษาให้เส้นประสาทใบหน้าทำงานได้ปกติ (ป้องกันกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง)

     ผลการรักษา หากได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม ส่วนใหญ่ได้ผลดี แต่ถ้าได้รับการรักษาเมื่อก้อนเนื้องอกโตมากหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงก็มักได้ผลน้อย หรือไม่อาจป้องกันความพิการที่เกิดขึ้นได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น อาการหูตึง มีเสียงดังในหู วิงเวียน เห็นบ้านหมุน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกประสาทหู ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หากมีอาการบ้านหมุน เดินเซหรือรู้สึกโคลงเคลง เวลาเดินควรใช้ไม้เท้าช่วยป้องกันไม่ให้หกล้ม, หลีกเลี่ยงการขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น, ถ้าตื่นลุกเข้าห้องน้ำตอนกลางดึกควรเปิดไฟในห้องให้สว่าง

       
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    สงสัยมีภาวะแทรกซ้อน เช่น มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก กลืนลำบาก ตามัว เดินเซ กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง แขนขาชาหรืออ่อนแรง ชัก เป็นต้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และส่วนน้อยเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย


ข้อแนะนำ

1. เนื้องอกประสาทหู แม้ว่าจะเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้าย (ไม่ใช่มะเร็ง) แต่อาจค่อย ๆ โตขึ้นไปกดเบียดสมองและเส้นประสาทต่าง ๆ ทำให้เกิดความพิการทางหู ตา แขน ขา และการทรงตัว สูญเสียคุณภาพชีวิต เป็นภาระในการดูแลรักษา และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่มีอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตได้ ดังนั้น หากมีอาการที่น่าสงสัย เช่น มีอาการหูตึง มีเสียงดังในหู วิงเวียน เห็นบ้านหมุน เดินเซ อย่างต่อเนื่องนานเป็นสัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

2. โรคนี้ในระยะแรกจะมีอาการคล้ายหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน แต่จะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ นานเป็นแรมเดือนแรมปี ดังนั้น ถ้าให้การดูแลรักษาแบบหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน 1-2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

2
Doctor At Home: ท้องเดินจากไวรัส (Viral gastroenteritis)

โรคท้องเดิน หรืออุจจาระร่วงเฉียบพลันที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย มักพบในเด็กเล็ก ส่วนมากจะมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง มักพบติดต่อกันได้ง่าย บางครั้งอาจมีการระบาดในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือผู้สูงอายุ โรงเรียน เป็นต้น

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น ไวรัส โคโรนา (coronavirus) ไวรัสอะดีโน (adenovirus) ไวรัสแอสโตร (astrovirus) ไวรัสคาลิซิ (calicivirus) ไวรัสนอร์วอล์ก (Norwalk virus) เป็นต้น ติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ บางชนิดก็อาจติดต่อโดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน หรือการปนเปื้อนเชื้อในอุจจาระเข้าทางเดินหายใจ (fecal respiratory transmission)

เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคท้องเดินเฉียบพลัน ซึ่งพบได้ในทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุ 6-24 เดือน) ได้แก่ ไวรัสโรตา (rotavirus) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โรคนี้พบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ ส่วนใหญ่ติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ป่วย และสามารถติดต่อทางการหายใจได้ ระยะฟักตัว 1-2 วัน


อาการ

มักมีไข้สูง ถ่ายเป็นน้ำบ่อย อาจมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย มักจะเป็นอยู่นานเพียงไม่กี่วัน แต่บางรายอาจนาน 1-2 สัปดาห์

สำหรับโรคท้องเดินจากไวรัสโรตา เริ่มแรกจะมีอาการปวดท้อง อาเจียนนำมาก่อน แล้วจึงมีอาการถ่ายเป็นน้ำตามมา อุจจาระมีลักษณะเป็นฟอง มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว มักมีไข้สูงร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดร่วมด้วย อาการมักเป็นอยู่นาน 5-7 วัน ในรายที่เป็นไม่มากก็มักจะหายได้เอง แต่ถ้ามีอาการอาเจียนหรือถ่ายท้องรุนแรง ก็อาจเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงได้


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรงมักเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง

อาจทำให้เกิดภาวะพร่องแล็กเทส เนื่องจากเยื่อบุลำไส้เล็กที่อักเสบไม่สามารถสร้างเอนไซม์ชนิดนี้ชั่วคราว ทำให้มีอาการท้องเดินเรื้อรังตามมาได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งอาจตรวจพบไข้ และภาวะขาดน้ำ

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ เพื่อยืนยันการวินิจฉัย


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้-พาราเซตามอล และให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่

2. หากกินไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ


การดูแลตนเอง

หากมีอาการถ่ายเป็นน้ำร่วมกับไข้ หรือสงสัยมีอาการท้องเดินจากไวรัส ควรดูแลตนเองดังนี้

1. กินอาหารที่ย่อยง่าย (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก) รสไม่เผ็ดและไม่มันจัด งดผักและผลไม้

สำหรับทารก ให้ดื่มนมแม่ได้ตามปกติ ถ้าดื่มนมผงในระยะ 2-4 ชั่วโมงแรก ให้ผสมนมเจือจางลงเท่าตัว

2. ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ ครั้งละ 1/2-1 ถ้วย (250 มล.) บ่อย ๆ จนสังเกตเห็นมีปัสสาวะออกมากและใส จึงค่อยเว้นระยะห่างขึ้น

3. ถ้ามีไข้สูง ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล*

4. ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด หรืออุจจาระมีกลิ่นเหม็นจัด
    ถ่ายรุนแรง อาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ได้น้อย (สังเกตพบปัสสาวะออกน้อย และมีสีเข้มอยู่เรื่อย ๆ)
    มีภาวะขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง สังเกตพบมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ลิ้นเป็นฝ้าหนา ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย
    มีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจหวิวใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว

สำหรับทารก มีท่าทางซึม ไม่ร่าเริง กระหม่อมบุ๋ม 

    มีไข้เกิน 3-4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก หนังตาตก หรือพูดอ้อแอ้
    มีประวัติกินปลาปักเป้า แมงดาถ้วย คางคก เห็ด (ที่สงสัยว่าเป็นเห็ดพิษ) หรือสงสัยว่าเกิดจากการกินสารพิษ
    มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยอหิวาต์
    ดูแลตนเอง 24 ชั่วโมงแล้วไม่ทุเล
    หลังกินยามีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ 
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ


การป้องกัน

1. ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันท้องเดิน

2. ควรแยกผู้ป่วยไม่ให้คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น ถ้าผู้ป่วยมีอาการไอ จาม ควรปิดปาก อย่าไอหรือจามรดใส่ผู้อื่น

3. ผู้ดูแลทารกหรือเด็กเล็ก (เช่น ในสถานรับเลี้ยงเด็ก) ควรล้างมือกับสบู่ทุกครั้งที่ชำระก้นเด็กหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการคล้ายไข้หวัดร่วมกับท้องเดิน บางรายจึงเรียกว่า "หวัดลงกระเพาะ" หรือ "ไวรัสลงกระเพาะ"

2. อาการจะคล้ายกับอาหารเป็นพิษ หรือบิดชิเกลลา ระยะแรกหลังให้การรักษาควรเฝ้าดูอาการเปลี่ยนแปลง ถ้าถ่ายเป็นมูกเลือดตามมาควรให้การรักษาแบบบิดชิเกลลา

3. ถ้ามีภาวะพร่องแล็กเทสตามมา ควรให้เด็กงดนมมารดาและนมวัว ให้ดื่มนมถั่วเหลืองแทน และให้การดูแลแบบภาวะพร่องแล็กเทส

3
เว็บบอร์ด แรงๆ / Doctor At Home: ท่อน้ำดีตีบตันในทารก (Biliary atresia)
« เมื่อ: วันที่ 10 เมษายน 2025, 20:01:37 น. »
Doctor At Home: ท่อน้ำดีตีบตันในทารก (Biliary atresia)

ทารก บางรายอาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินน้ำดี* ซึ่งมีได้หลายลักษณะ ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่มีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีทุกส่วนที่อยู่นอกตับ ส่วนน้อยมีการตีบตันของท่อน้ำดีเฉพาะบางส่วน การตีบตันของทางเดินน้ำดี ทำให้น้ำดีที่สร้างในตับระบายไม่ออก เกิดการคั่งอยู่ในตับ ทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย เกิดอาการดีซ่านรุนแรง และมักมีภาวะตับแข็งและตับวายแทรกซ้อนตามมาในที่สุด

บางรายอาจมีภาวะผิดปกติของอวัยวะอื่น (เช่น หัวใจ หลอดเลือด ม้าม ลำไส้) ร่วมด้วย

โรคนี้พบได้น้อยมาก (ประมาณ 1 รายในทารก 10,000 - 20,000 ราย)

*ระบบทางเดินน้ำดี (Biliary system) คือ ระบบท่อน้ำดีที่นำน้ำดีซึ่งสร้างจากเซลล์ในตับไปสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum)

ประกอบด้วย 1.ท่อตับข้างขวา (right hepatic duct ), 2.ท่อตับข้างซ้าย (left hepatic duct ), 3. ท่อตับร่วม (common hepatic duct ), 4. ท่อถุงน้ำดี (cystic duct) 5. ท่อน้ำดีร่วม (commom bile duct)

โดยน้ำดีจากตับข้างขวาและข้างซ้ายไหลผ่านท่อตับข้างขวาและท่อตับข้างซ้ายตามลำดับ ลงไปที่ท่อตับร่วม(เกิดจากการรวมตัวกันของท่อตับข้างขวาและข้างซ้าย)   น้ำดีส่วนใหญ่จะไหลผ่านท่อถุงน้ำดีไปเก็บสะสมที่ถุงน้ำดี  น้ำดีจากถุงน้ำดีและน้ำดีจากท่อตับร่วมจะไหลผ่านท่อน้ำดีร่วมลงไปในลำไส้เล็กส่วนต้น ปนออกไปกับอุจจาระ ทำให้อุจจาระมีสีเหลืองซึ่งเป็นสีของน้ำดี(ที่สร้างจากบิลิรูบินซึ่งเป็นสารสีเหลือง)

โรคท่อน้ำดีตีบตันในทารก มีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีส่วนต่าง ๆ ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 70 - 90) เป็นการตีบตันของท่อน้ำดีทั้งระบบ (ท่อทุกส่วน) ส่วนน้อยมีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีบางส่วน (เช่น ตับตันเฉพาะที่ท่อตับร่วม, หรือเฉพาะที่ท่อน้ำดีร่วม, หรือที่ท่อตับร่วมกับท่อน้ำดีร่วมและถุงน้ำดีทั้ง 3 แห่ง)


สาเหตุ

เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในระยะพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของการสร้างท่อน้ำดีโดยกำเนิด 

อีกส่วนหนึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติโดยกำเนิด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด (กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง หรือออโตอิมมูน) หรือสารพิษบางชนิด ทำให้เกิดการอักเสบของท่อน้ำดีของทารกในครรภ์ เป็นผลให้ท่อน้ำดีสลายตัวและตีบตันตามมา บ้างสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการเอ่อกลับของน้ำย่อยจากตับอ่อนของทารกในครรภ์ หรือ ทำให้ท่อน้ำดีถูกทำลาย

อาการ

ทารกส่วนใหญ่จะไม่มีอาการผิดปกติในช่วงหลังคลอดใหม่ ๆ แต่จะเริ่มมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง และปัสสาวะเหลืองเข้มคล้ายสีขมิ้น ภายในราว 2 สัปดาห์ ถึง 2 เดือนหลังคลอด และจะเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมเดือนจนผิวหนังออกเป็นสีเหลืองปนเขียว อุจจาระมักสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ต่อมาทารกจะมีอาการกระสับกระส่าย น้ำหนักลด

ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการผ่าตัดแก้ไข เซลล์ตับจะถูกทำลายจนเกิดภาวะตับแข็ง มีอาการท้องมาน อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด และภาวะเลือดออกง่าย


ภาวะแทรกซ้อน

ตับแข็ง ตับวาย

ความดันในหลอดเลือดดำของตับสูง (portal hypertension) ทำให้ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบอาการตาเหลือง ตัวเหลืองจัด (หรือเหลืองปนเขียว) ปัสสาวะเหลืองเข้มเป็นสีขมิ้น อุจจาระสีซีดขาว เมื่ออายุเกิน 2-3 เดือน มักตรวจพบตับโต ม้ามโต อาจพบท้องบวม


แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น อัลตราซาวนด์ สแกนตับ (hepatobiliary scan) การเจาะเนื้อตับออกพิสูจน์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

มักจะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขภาวะตีบตันของทางเดินน้ำดีให้ระบายน้ำดีได้สะดวก ซึ่งควรทำก่อนอายุได้ 8 สัปดาห์ และติดตามผลการรักษาเป็นระยะ ในรายที่พบว่าน้ำดียังระบายได้ไม่ดีและมีเซลล์ตับถูกทำลาย แพทย์จะทำการปลูกถ่ายตับ (liver transplantation)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค หากมีความรุนแรงไม่มาก และได้รับการผ่าตัดแก้ไขก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน ทารกก็สามารถเจริญเติบโตได้เป็นปกติ โดยเฉลี่ยราวร้อยละ 50 และ 30 มีชีวิตอยู่ได้นานเกิน 5 และ 10 ปีตามลำดับ ราว 1 ใน 3 ของผู้ป่วยหลังได้รับผ่าตัดแก้ไขภาวะตีบตันของทางเดินน้ำดี การระบายน้ำดียังไม่ดีพอ มักจะเสียชีวิตภายในไม่กี่ปี จากโรคตับแข็งรุนแรงและตับวาย นอกจากจะได้รับการปลูกถ่ายตับ ซึ่งช่วยให้การทำหน้าที่ของตับฟื้นคืนปกติ

ถ้ามีความรุนแรง หรือมีความผิดปกติของอวัยวะอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดปกติของหัวใจ) หรือได้รับการรักษาช้าเกิน (หลังอายุ 8 สัปดาห์ขึ้นไป) ผลการรักษาก็มักจะไม่สู้ดี และมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน (ราว 1-2 ปี หรือไม่เกิน 5 ปี)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ทารกแรกเกิดมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองที่มีลักษณะเหลืองมากขึ้นเรื่อย ๆ นานเกินสัปดาห์ หรือมีอาการเหลืองจัด และอุจจาระสีซีดขาว ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว 

เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคท่อน้ำดีตีบตัน ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีไข้ ซึม ดีซ่าน ไม่ดูดนม ท้องเดิน หรือแผลอักเสบ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น)


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง


ข้อแนะนำ

เมื่อพบทารกแรกเกิด มีอาการดีซ่าน ควรสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง ลักษณะการขับถ่ายและสีอุจจาระ ถ้าพบว่าตัวเหลืองเข้มขึ้นทุกวันนานเกิน 1-2 สัปดาห์ หรือพบว่าอุจจาระสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ควรคิดถึงโรคนี้ และรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


5
ปล่อยรถราคาพิเศษ BMW iX xDrive50 Sport ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

บีเอ็มดับเบิลยู BMW i X xDrive50 Sport ปี 2022
BMW iX xDrive50 Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า BMW xDrive Electric ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 523 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม. เสริมด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-actuator wheel slip limitation) ทำงานคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นครั้งแรก (ราคาขายรวม BSI STANDARD Package)


หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 17 มี.ค. - 31 มี.ค. 2568
BMW BEV-BSI Ultimate (BSI 6/UN + War 6/UN) bsi เริ่มต้น 9-May-24 ถึง 8-May-30

ราคาพิเศษ 4,300,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              BMW
   รุ่น                   บีเอ็มดับเบิลยู BMW i X xDrive50 Sport ปี 2022
   ประเภทรถ          รถอเนกประสงค์ SUV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว          2022


6
จัดฟันบางนา: รู้แล้วระวัง ! เหตุใดจึง “เหงือกร่น” ภัยร้ายในช่องปาก สุดอันตราย ?

เชื่อว่าหลายๆท่านคงรู้จักหลายปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของช่องปากกันเป็นอย่างดี และกำลังหาวิธีป้องกันและแก้ไขกันอย่างสม่ำเสมอ หลายคนเลือกวิธีการแปรงฟันบ่อยๆ หลายคนเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ และรับประทานอย่างระวัง เพื่อรักษาสุขภาพฟันให้แข็งแรงนั่นเอง แต่เคยทราบไหมว่าภัยร้ายอีกอย่างหนึ่งในช่องปากที่นำไปสู่โรคร้ายต่างๆมากมาย คือ “ภาวะเหงือกร่น”

เหงือกร่น ก็คือ การที่เหงือกรอบๆฟันร่นลงเปิดออกจนทำให้เนื้อฟันหรือรากฟันโผล่ออกมามากขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดเป็นช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก และกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่างๆ เข้าไปเกาะตัวได้ง่ายและรุนแรงขึ้น ซึ่งหากว่าปล่อยทิ้งไว้โดยที่ไม่ได้รับการรักษาแล้วล่ะก็ ท่านอาจจะต้องสูญเสียฟันไปเลยก็เป็นได้

ซึ่งในวันนี้อยากจะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับภาวะเหงือกร่น ก่อนที่จะสายเกินไป


“เหงือกร่น” มีอาหารอย่างไร ?

ต้องบอกก่อนเลยว่าท่านอาจจะไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำ เพราะอาการเหงือกร่นนั้นจะไม่แสดงออกมามากมายนักถ้าเทียบกับความรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่เคยทราบเลยว่าตัวเองนั้นกำลังประสบปัญหาเหงือกร่นอยู่ แต่ก็ใช่ว่าเหงือกร่นจะไม่ส่งสัญญาณ หากสังเกตกันดีๆ หากว่าท่านกำลังมีภาวะเหงือกร่น ท่านจะเริ่มมีอาการเสียวฟันเมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีความร้อนจัดหรือเย็นจัด หรือหากทำการส่องกระจกแล้วสังเกตกันดีๆ จะพบว่าฟันมีความยาวผิดปกติอย่างชัดเจนในบริเวณที่เหงือกร่น และหากว่าปล่อยทิ้งไว้เชื้อโรคต่างๆจะเข้าไปเกาะแน่นสะสมจะกลายเป็นคราบหินปูน และถ้าหากว่าไม่รีบทำการรักษากระดูกและเนื้อเยื่อที่รองรับฟันจะถูกทำลาย ผลสุดท้ายฟันซี่นั้นจะหลุดออก


สาเหตุการเกิดภาวะเหงือกร่น ?

ต้องขอบอกเลยว่าเหงือกร่นนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุมากมาย ดังต่อไปนี้

– แปรงฟันผิดวิธี

อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าการแปรงฟันคือการรักษาสุขภาพช่องปากขั้นพื้นฐาน แต่หากว่าแปรงผิดวิธี เช่น การแปรงแนวนอนก็ถือได้ว่าเป็นการแปรงฟันอีกหนึ่งวิธีที่ทำลายเหงือก และเป็นสาเหตุหลักๆของการทำให้เหงือกร่นบริเวณ ฟันเขี้ยว ฟันกรามน้อย และฟันกรามตรงกระพุ้งแก้ม

ซึ่งการแปรงฟันที่ถูกวิธีคือการแปรงฟันแบบแนวตั้งโดยให้ขนแปรงขนาดกับฟัน 45 องศา เพื่อลดแรงเสียดสีไม่ให้เกิดการกระแทกเหงือกอย่างรุนแรง

– โรคปริทันต์อักเสบ

ต้องบอกก่อนเลยว่า โรคปริทันต์นั้นเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียขั้นรุนแรงส่งผลให้เหงือกอักเสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุหลักๆของภาวะเหงือกร่น เพราะหากว่าท่านเป็นโรคปริทันต์และปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษา ต่อมาก็จะเกิดภาวะเหงือกร่นและตามด้วยฟันหลุดออกมานั่นเอง

– ขาดการดูแลสุขภาพช่องปาก

อันนี้ต้องถือว่าครอบคลุมมากๆ หากว่าท่านแปรงฟันไม่สม่ำเสมอ ไม่เคยใช้ไหมขัดฟัน ไม่ตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุก 6 เดือน ดังที่กล่าวมานี้ท่านอาจจะต้องเจ็บปวดเพราะโรคต่างๆในช่องปาก แถมเหงือกร่นถามหาแน่นอน

– การสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่นั้นทำร้ายทั้งร่างกาย และช่องปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเกิดโรคต่างๆในช่องปาก รวมถึงเหงือกร่น เป็นอย่างมากกว่าพฤติกรรมอื่นๆ

– พันธุกรรม

จากงานศึกษาวิจัยพบว่า 100 ละ 30 คน มีอาการเหงือกร่นหลายรุ่น ทั้งที่ดูแลสุขภาพช่องปากเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม

– การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ บุคคลที่อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ รวมถึงท่านที่กำลังเข้าสู่วัยทอง ส่งผลให้เกิดภาวะเหงือกร่นได้ง่ายทั้งที่ดูแลสุขภาพช่องปากเป็นอย่างดี

– การมีฟันเกหรือฟันซ้อน

อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าหากท่านที่มีรูปฟันผิดปกติคือเรียงตัวกันไม่สม่ำเสมอ จะส่งผลให้เกิดการสะสมของคราบแบคทีเรียได้ง่าย และถือว่าเป็นอีกหนึ่งในต้นเหตุของผู้ที่มีฟันเกหรือฟันซ้อนจะเกิดการดึงตึงของเหงือกส่งผลให้เกิดเหงือกร่นได้ง่ายกว่าปกตินั่นเอง

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือภาวะเสี่ยงต่อการเกิด เหงือกร่น หากว่าเข้าข่ายหรือเริ่มมีอาการเสียวฟันควรรีบเข้าพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่องปากของท่านกำลังมีปัญหาหรือไม่เพื่อทำการแก้ไขให้ทันก่อนจะปล่อยทิ้งจนสายเกินไป

7
จัดฟันบางนา: คำเตือน และ วิธีการใช้ยาแก้ปวดฟันสีชมพูไม่ให้อันตราย

เชื่อว่าหลายๆท่านที่เคยมีอาการปวดฟันอย่างรุนแรง และได้ไปทำการพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะทำการรักษา โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมักจะจ่ายยาแก้ปวดเม็ดสีชมพู ซึ่งทำให้หลายๆท่านอาจจะคิดว่าเป็นเพียงแค่ยาแก้ปวดพาราเซตามอลชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย

ยาแก้ปวดฟันเม็ดสีชมพู ที่ทันตแพทย์นิยมจ่ายให้ผู้ป่วยที่มีอาการปวดฟัน หรือทำการรักษารากฟัน รวมถึงผ่าฟันคุด ก็คือ ยาไอบรูโพรเฟน นั่นเอง

ซึ่งด้วยความเป็นห่วง จึงอยากขอนำข้อมูลเกี่ยวกับยาไอบรูโพรเฟน หรือยาแก้ปวดฟันเม็ดสีชมพูนี้มาบอกต่อ ซึ่งมีทั้งคุณประโยชน์และโทษหากรับประทานในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ยาไอบรูโพรเฟน คืออะไร ใช้อย่างไรไม่ให้เป็นอันตราย ?

ยาไอบรูโพรเฟน หรือ Ibuprofen เป็นหนึ่งในกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่เกี่ยวกับสเตียรอยด์ มักนิยมใช้ในการรักษาอาการปวด ลดไข้ และแก้อักเสบที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ปวดหลัง ปวดโรคเกี่ยวกับไขข้อ ปวดประจำเดือน และการบาดเจ็บเล็กน้อย เป็นต้น

ยาไอบรูโพรเฟน ในท้องตลาดมีขายทั่วไปอยู่ที่ 2 ขนาด คือ ขนาด 400 มิลลิกรัม และขนาด 600 มิลลิกรัม ซึ่งความแตกต่างอยู่ที่ปริมาณตัวยาสำคัญ ซึ่งยาไอบรูโพรเฟนขนาด 600 มิลลิกรัม จะมีปริมาณตัวยาสำคัญที่สูงกว่าปกติ ซึ่งทางด้านแพทย์จะนิยมจ่ายยาไอบรูโพรเฟนขนาด 600 มิลลิกรัม ให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเสื่อม หรือโรคอักเสบรูมาตอยด์ เนื่องจากว่าผู้ป่วยจากโรคเหล่านี้มักมีอาการปวดที่อยู่ในขั้นรุนแรงกว่าปกติ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ยาแก้ปวดที่มีปริมาณตัวยาสำคัญมากกว่าปกติทั่วไป

ซึ่งสำหรับยาไอบรูโพรเฟนที่มีขนาด 400 มิลลิกรัม ซึ่งมีขนาดตัวยาสำคัญที่น้อยกว่า 600 มิลลิกรัมอย่างมาก หรือมีตัวยาสำคัญไม่ต่างกับยาทั่วไป มักจะนิยมใช้ในผู้ที่มีอาการปวดประจำเดือน หรือผู้ป่วยที่มีอาการปวดเล็กน้อยถึงขนาดปานกลาง หรือสามารถใช้ในการลดไข้ได้

แต่ต่างจากอาการปวดฟัน ซึ่งทันตแพทย์มักจะให้ยาบรูโพรเฟนในปริมาณน้อยอยู่ที่ 200 – 400 มิลลิกรัม ในการรักษาอาการปวดฟัน และควรรับประทานในระยะเวลา 4 – 6 ชั่วโมง แต่ถ้าหากว่ารับประทานและอาการปวดฟันไม่ลดลง ยังมีอาการปวดอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มปริมาณเป็น 600 มิลลิกรัม โดยให้รับประทานต่อเนื่องทุก 4 – 6 ชั่วโมง


คำเตือนในการใช้ยาไอบรูโพรเฟน ?

– ไม่ควรใช้ยาไอบรูโพรเฟนติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากว่าอาจจะทำให้มีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง และหัวใจวายได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงยาประเภทนี้

– เมื่อรับประทานยาไอบรูโพรเฟน อาจก่อให้เกิดภาวะเลือดออกในช่องท้องและลำไส้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยสูงวัย การใช้ยาดังกล่าวด้วยตนเองโดยไม่ระมัดระวังอาจจะส่งผลให้เสียชีวิตได้

– ยาไอบรูโพรเฟน อาจส่งผลเสียต่อลำไส้และกระเพาะอาหารได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาไอบรูโพรเฟนในขณะที่ท้องว่าง

– ไม่ควรรับประทานยาไอบรูโพรเฟนหากว่ามีอาการแพ้ยาในกลุ่มแอสไพริน หรือเคยมีอาการหอบหืดเฉียบพลัน

– สตรีที่มีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนที่จะใช้ยาไอบรูโพรเฟน หรือควรหลีกเลี่ยงการใช้ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 7-9 เดือน เพราะอาจจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติในครรภ์ได้

– ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หอบหืด หลอดเลือด โรคลิ่มเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน คอเลสเตอรอลสูง โรคตับ และโรคไต ควรทำการปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง หรือแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งเมื่อมีการจัดยาประเภทนี้ให้

– ผู้ที่เคยมีประวัติการเกิดเลือดออกในกระเพาะอาหารควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งที่จะรับประทานยาไอบรูโพรเฟน หรือเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงจะดีที่สุด

– ห้ามใช้ยาไอบรูโพรเฟนทุกปริมาณกับเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี

นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หากว่าผู้ที่รับประทานยาไอบรูโพรเฟนเข้าไปแล้วมีผลข้างเคียง เช่น รู้สึกกระวนกระวาย มึนงง เลือดออกตามไรฟัน ผิวลอก สายตาผิดปกติ ท้องผูก ไอหนัก หนาวสั่น ปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลียรุนแรง การเต้นของหัวใจผิดปกติ อาเจียน เป็นต้น หากว่ามีอาการข้างเคียงตามที่กล่าวมา ให้รีบเข้าพบทันตแพทย์ หรือแพทย์ โดยเร็วที่สุด

8
เด็กฟันขากรรไกรยื่นจัดฟันเด็กได้ไหม
 
เด็กหลายคนมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน เนื่องจากพฤติกรรมต่างๆเช่น การรับประทานอาหาร การแปรงฟันไม่สะอาด หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมในวัยเด็ก อย่างการดูดนิ้ว ดูดขวดนม แต่ปัญหาฟันในบุตรหลานของท่าน สามารถแก้ไขได้เมื่อปัญหานั้นๆ ถูกตรวจพบแต่เนิ่นๆ ในเด็กเล็กอายุไม่เกิน 10 ปี หากเราสามารถตรวจพบความผิดปกติของฟัน ซึ่งอาจเกิดจากการเจริญเติบโตของขากรรไกรที่ผิดปกติ พฤติกรรมการกิน การกลืน และการใช้ฟันผิดหน้าที่ของเด็ก ทันตแพทย์จะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้


ถ้าหากปล่อยให้ปัญหาดำเนินต่อไป โดยไม่ได้รับการรักษา จนเด็กคนนั้นเติบโตหรือมีพัฒนาการที่โตขึ้น ร่างกายเจริญเติบโตขึ้น การแก้ไขปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ อาจจะมีความซับซ้อนมากกว่า และอาจต้องมีการผ่าตัด หรือแก้ไขปัญหาข้อต่อขากรรไกรที่เสื่อมสภาพลงด้วย สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการเกิดปัญหาขากรรไกรยื่น และอยากที่จะเข้ารับการจัดฟัน ซึ่งพ่อแม่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าปัญหาฟันของเด็กแบบไหนที่เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และวันนี้ทางคลินิกมีเคสของปัญหาขากรรไกรยื่นมาพูดถึงในแง่มุมของการจัดฟันในเด็ก ซึ่งให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป้นแนวทางในการแก้ไขปัญหาฟัน เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีฟันที่เรียงตัวสวยงาม และมีรอยยิ้มที่สดใส มั่นใจ เสริมสร้างบุคลิกภาพให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
 
สำหรับการเกิดภาวะขากรรไกรยื่นหลายคนสงสัยว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงเรื่องของความผิดปกติดังกล่าวในเด็กต้องบอกว่า เด็กที่มีปัญหาดังกล่าวนี้ เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพราะถ้าหากปล่อยไว้และไปแก้ไขตอนโตอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดขากรรไกร ร่วมกับการจัดฟัน เพราะการจัดฟันทั้งก่อนผ่าตัดหรือหลังผ่าตัดขากรรไกร


สามารถช่วยแก้ไขความผิดปกติของตำแหน่งของฟันบน และขากรรไกรได้ ทั้งตำแหน่งการเรียงตัวฟันหน้า ฟันหลัง การสบฟันให้เหมาะสม มีส่วนช่วยแก้ไขและปรับปรุงโครงหน้าที่ผิดปกติ แก้ปัญหาการสบฟันให้มีความถูกต้องเหมาะสม เพื่อการเคี้ยวให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้สามารถออกเสียงได้ดีขึ้น ที่สำคัญยังแก้ไขถึงความผิดปกติของรูปหน้าอีกด้วย ทำให้มีใบหน้ามีความสวยงามมากยิ่งขึ้น


ดังนั้น ในแง่ของการจัดฟันในเด็ก ถ้าหากเด็กมีปัญหาขากรรไกรยื่น ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ทันที อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็ก สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี เนื่องจากการสบฟันที่ผิดปกติบางอย่าง สามารถแก้ไขได้ หากตรวจพบเมื่อเด็กอายุยังน้อย นอกเหนือจากเรื่องความสวยงาม การเรียงตัวของฟันที่ดีแล้ว การจัดฟัน ยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ


เมื่อมีฟันเรียงสวย ไม่ซ้อนเก เด็กก็จะแปรงฟันได้ง่ายขึ้น สะอาดขึ้น ซึ่งระเบียบวินัยเรื่องความสะอาดในช่องปาก ถือเป็นสุขอนามัยพื้นฐาน ที่จะอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิตนั่นเอง ทั้งนี้ การสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับกรดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันของเด็กก็มีความสำคัญไม่น้อย พ่อแม่ผู้ปกครองควรสร้างความเข้าใจให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการดูลักษาความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี เพื่อที่จะได้เข้าใจและทำความสะอาดฟันอย่างถูกต้อง ลดโอกาสการเกิดฟันผุและการเกิดปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับช่องปากและฟันด้วย


หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก และยังมีระสบการณ์ด้านทันตกรรมเด็กมาอย่างยาวนาน พร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาสำหรับเด็กที่อยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะทางคลินิกของเรา อยากให้เด็กไทยทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการที่ดีตามไปด้วย และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ และมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้นด้วย

9
ท่อลมร้อน มีอายุใช้งานนานมั้ย

อายุการใช้งานของท่อลมร้อนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่

วัสดุที่ใช้ผลิตท่อ:

ท่อโลหะ (เหล็กชุบสังกะสี, สแตนเลส, อลูมิเนียม): โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานยาวนาน โดยเฉลี่ย 20-25 ปี หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพและการใช้งาน ท่อสแตนเลสอาจมีอายุการใช้งานถึง 50 ปี หรือมากกว่านั้น

ท่อพลาสติก (PVC, PPR): มีอายุการใช้งานหลายสิบปี แต่ความทนทานต่อความร้อนอาจจำกัดกว่าท่อโลหะ ท่อ PPR สำหรับน้ำร้อนมีอายุการใช้งานประมาณ 50 ปี ที่อุณหภูมิใช้งาน 3-95 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิและความดันของลมร้อน: อุณหภูมิและความดันที่สูงเกินไปจะลดอายุการใช้งานของท่อ

การกัดกร่อน: ทั้งภายในและภายนอกท่อ

การติดตั้ง: การติดตั้งที่ไม่ถูกต้องจะทำให้ท่อเสียหายและมีอายุการใช้งานสั้นลง

การบำรุงรักษา: การดูแลรักษาที่ไม่ดีจะลดอายุการใช้งานของท่อ

สภาพแวดล้อมภายนอก: แสงแดด ฝน และลม สามารถทำให้ท่อเสื่อมสภาพได้

เพื่อให้ท่อลมร้อนมีอายุการใช้งานยาวนาน ควรเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับการใช้งาน ติดตั้งอย่างถูกวิธี และมีการตรวจสอบบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

10
มาตรการติดตั้งฉนวนกันความร้อนช่วงโควิด เนรมิตบ้านเย็นอย่างปลอดภัย

ปัญหาบ้านร้อนเป็นสิ่งที่รีรอช้าไม่ได้ เพราะยิ่งปล่อยนานวันไป นอกจากจะทำให้คุณภาพการอยู่อาศัยย่ำแย่ลงแล้ว ก็ยังเสี่ยงต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา

แต่ครั้นจะเรียกช่างมาติดตั้งฉนวนกันความร้อน ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะช่วงนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19

ดังนั้น ในการติดตั้งฉนวนกันความร้อน จึงจำเป็นต้องดำเนินการด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยตรง เพื่อให้ติดตั้งแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการการติดตั้งที่ปลอดภัยที่สุด

โดยทีมงานสามารถให้บริการติดตั้งฉนวนกันความร้อน Stay Cool ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทุกคนอุ่นใจและมั่นใจว่าจะได้บ้านเย็นอย่างปลอดภัย ด้วยมาตรการ ดังต่อไปนี้


1.ทีมงานช่างติดตั้ง ต้องตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าหน้างาน

ทีมงานติดตั้งฉนวนกันความร้อน ได้รับการคัดเลือกมาแล้วว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ

ทั้งก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ในหน้างานจริงวันติดตั้ง ก็จะต้องผ่านเกณฑ์การวัดอุณหภูมิตามมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นผู้ไม่มีความเสี่ยง เพื่อความปลอดภัยในการดำเนินการติดตั้ง


2.สวมใส่หน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อตลอดการทำงาน

แม้จะได้รับการคัดกรองแล้วว่าทีมงานทุกคนไม่เป็นผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อ แต่เพื่อให้การดำเนินการติดตั้งฉนวนกันความร้อนเป็นไปอย่างรัดกุมและปราศจากโอกาสในการแพร่เชื้อมากที่สุด

ทีมงานติดตั้งฉนวนกันความร้อนทุกคน จะสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่เข้าพื้นที่หน้างาน จนกระทั่งติดตั้งแล้วเสร็จ


3.ล้างมือก่อนและหลังการให้บริการ

ในการติดตั้งฉนวนกันความร้อนนั้น ทีมงานทุกคนจะล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ และสวมใส่ถุงมือขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยหลังจากทำการติดตั้งฉนวนกันความร้อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ก็จะล้างมื้อด้วยน้ำยาทำฆ่าเชื้ออีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามือที่สัมผัสกับทุกๆ จุดภายในบ้านนั้น สะอาด ปลอดภัย และปลอดเชื้อมากที่สุด


4.เว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม ไม่พูดคุยขณะปฏิบัติงาน

ในขณะปฏิบัติการติดตั้งฉนวนกันความร้อน ทีมงานจะเว้นระยะห่างในการทำงานระหว่างกันและกัน รวมถึงยังเคลียร์พื้นที่ให้เว้นระยะห่างกับลูกค้าอย่างเหมาะสมด้วย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด

รวมถึงยังงดการพูดคุยระหว่างกันให้เหลือน้อยที่สุด พูดคุยเฉพาะที่จำเป็นต่อการดำเนินการติดตั้ง เพื่อลดโอกาสในการเกิดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดลงให้ได้มากที่สุด


อยากติดตั้งฉนวนกันความร้อน Stay Cool ต้องทำอย่างไร?

สำหรับใครที่ตัดสินใจแล้วว่าต้องการติดตั้งฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น Stay Cool ให้กับฝ้าเพดานที่บ้านของตัวเองล่ะก็ สามารถติดต่อนัดหมายกับทีมช่างผู้เชี่ยวชาญกับทางทีมงานได้เลย โดยมีรายละเอียดขั้นตอน ดังต่อไปนี้

    นัดหมายและชำระค่าบริการสำรวจ เพื่อตรวจสอบพื้นที่และวัดหน้างานจริง ซึ่งทีมงานจะต้องเข้าตรวจหน้างานเพื่อพิจารณาว่าฝ้าเพดานสามารถติดตั้งฉนวนกันความร้อนได้หรือไม่ หลังคามีการรั่วซึมหรือไม่ รวมถึงคำนวณพื้นที่ฝ้า และแจ้งปริมาณของฉนวนกันความร้อนที่ต้องใช้ให้ทราบอย่างชัดเจน
    อนุมัติ และชำระค่าบริการตามใบเสนอราคาค่าติดตั้ง
    ทีมงานนัดหมายวันดำเนินการติดตั้งก่อนเข้าติดตั้งจริงตามวันและเวลาที่ตกลง
    ใช้เวลาติดตั้งเสร็จภายใน 1 วัน
    รับประกันการติดตั้ง 180 วัน หากมีปัญหาจะเข้าดำเนินการแก้ไขให้โดยไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม

แม้จะเป็นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 แต่การปล่อยให้บ้านร้อนต่อไปโดยไม่แก้ไข ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะมีแต่จะทำให้ทุกคนในบ้านไม่มีความสุข

ยิ่งด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเป็นในรูปแบบที่ต้องอยู่บ้านมากขึ้น ทำงานที่บ้านมากขึ้น การเร่งแก้ไขปรับปรุงให้บ้านเย็นขึ้น ด้วยการติดตั้งฉนวนกันความร้อน Stay Cool จึงเป็นทางออกที่ตอบโจทย์มากกว่า

11
ฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ดี ควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมคนไหน ไม่เห็นความสำคัญของ “ฉนวนกันความร้อน” ถือเป็นความประมาทที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อโรงงานได้ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เพราะโรงงานร้อนขึ้นก็ยิ่งเปลืองพลังงานมากขึ้น เครื่องจักรทำงานหนักขึ้น รวมถึงพนักงานก็ทำงานแบบเสี่ยงอันตรายและยากลำบากขึ้นด้วย

ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ในโรงงาน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยคุณสมบัติที่ฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ดี ได้แก่


1.มีค่าต้านทานความร้อนสูง

ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ต้องมองหาเป็นอันดับแรก เพราะเป้าหมายสูงสุดของฉนวนกันความร้อน คือ การป้องกันความร้อนสะสมในโรงงานให้ได้มากที่สุด ซึ่งค่าค่าต้านทานความร้อนยิ่งสูงเท่าไร ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น

โดยตัวแปรสำคัญที่ทำให้แผ่นฉนวนกันความร้อนมีค่าต้านทานความร้อนสูง ก็คือ วัสดุที่นำมาทำฉนวนที่ต่างชนิดกัน ก็จะมีคุณสมบัติในการกันความร้อนต่างกันไป และความหนาของฉนวน ที่ยิ่งหนาก็ยิ่งกันความร้อนได้ดีมากขึ้น


2.ต้องไม่ดูดซับน้ำ

เมื่อภายในโรงงานมีการสะสมของความร้อนมาก ๆ และความร้อนกระทบกับอากาศ จะเกิดการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำขึ้นได้ กลายเป็นความชื้น ที่หากฉนวนกันความร้อนไม่ได้มีคุณสมบัติกันความชื้น ก็จะดูดซับไอน้ำ หยดน้ำเข้าไป ทำให้คุณสมบัติของความเป็นฉนวนเสื่อมสภาพได้โดยเร็ว

ด้วยเหตุนี้เอง ฉนวนกันความร้อนสำหรับโรงงานที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติไม่ดูดซับน้ำ ป้องกันการควบแน่นที่เกิดเป็นหยดน้ำได้ดี เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนานคุ้มค่า


3.ผลิตจากวัสดุที่ไม่ลามไฟ

ฉนวนกันความร้อนในโรงงานนั้น มีประเภทในการใช้งานหลายจุด อาทิ ฉนวนความร้อนสำหรับหลังคา สำหรับระบบปรับอากาศ สำหรับหุ้มท่อเครื่องจักรอุณหภูมิสูง ฯลฯ

ซึ่งทุกจุดมีโอกาสที่จะเกิดอัคคีภัยได้ทั้งหมด การเลือกใช้ฉนวนที่ผลิตจากวัสดุที่ไม่ลามไฟ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดโอกาสความเสียหายได้มากกว่า ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแบบได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือนอกจากช่วยกันความร้อนได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับโรงงานได้ด้วย


4.เป็นมิตรกับสุขภาพร่างกาย

ละอองฝุ่นหรือเส้นใยจากวัสดุที่นำมาใช้ฉนวน บางชนิดอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ ซึ่งฉนวนกันความร้อนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ติดตั้งแล้วจะอยู่ในโรงงานตลอดอายุการใช้งาน ทำให้ควรเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อร่างกายมากที่สุด เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีของพนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่

โดยฉนวนกันความร้อน ที่ผลิตจากใยแก้ว ถือเป็นหนึ่งในฉนวนที่ได้รับความนิยม เพราะได้มีการตรวจสอบผ่านมาตรฐานความปลอดภัยแล้วว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เพราะใยแก้วมีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถเดินทางเข้าสู่ปอดผ่านการหายใจได้

การควบคุมอุณหภูมิความร้อนภายในโรงงาน ไม่ให้ร้อนเกินไป ถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการทุกคนที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะส่งผลต่อสวัสดิภาพความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานโดยตรง ซึ่งมีข้อกฎหมายกำหนดไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติด้วย หากละเลยปล่อยไว้แล้วถูกตรวจสอบก็จะเป็นผลเสียต่อโรงงานได้

12
ชุดปฏิบัติธรรม ชุดแม่ชี เราเป็น โรงงานผลิตโดยตรง
ตัดเย็บปราณีต ทรงสวย เรียบหรู ดูสง่างดงาม
ผลิตจาก ผ้าฝ้ายแท้ 100% เกรดพรีเมียม

ชุดปฏิบัติธรรม ชุดขาวไปวัด ชุดแม่ชี
– ราคาแยกรายชิ้น –
ทอย้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมชั้นดี
พร้อมส่งทุกไซส์
(กรณีสั่งตัดไซส์พิเศษ รอผลิต 7-10 วัน)
จัดส่งฟรี‼ เมื่อลูกค้าโอนชำระ
มีบริการเก็บเงินปลายทาง (+ตัวละ 10.-)

รับตัดชุดขาวไซส์ใหญ่พิเศษ
หมดกังวล หาไซส์ไม่ได้ ทางร้านเป็นโรงงานผลิตโดยตรง
สามารถสั่งตัดชุดได้ตามความต้องการ รอผลิต 7-10 วันทำการ

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ

สัมผัสประสบการณ์ใหม่
จากผ้าฝ้ายแท้ 100%
 นุ่มสบาย ไม่ร้อน ไม่ระคายคือง
ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อผ้า
การตัดเย็บ รวมไปถึงการจัดส่งแบบปกติ
และจัดส่งเร่งด่วน (Kerry EMS Grab)

ชุดขาวปฎิบัติธรรม ชุดขาวหญิง ชุดแม่ชี คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ชุดปฎิบัติธรรมชาย คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด


ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ


13
ซ่อมบำรุงอาคาร: เลือกกล้องวงจรปิดอย่างไร ให้เหมาะกับพื้นที่

ในปัจจุบัน สังคมของเรามีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตมากมาย เรียกได้ว่า อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของใครหลายๆคน ทั้งนี้ หลายบ้านยังมีการนิยมติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตใช้ได้เข้าทั่วถึง สามารถใช้การสื่อสารได้ ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แถมระบบอินเตอร์เน็ตนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับกล้องวงจรปิดได้อีกด้วย ทำให้การติดกล้องวงจรปิด สามารถส่งภาพวีดีโอไปยังโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านสัญญาณไวไฟ ทำให้การดูแลความปลอดภัยให้กับสถานที่ต่าง ๆ ครอบคลุมและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะการติดกล้องวงจรปิดในบ้านของเรา ที่สามารถดูผ่านมือถือได้ จึงเป็นทางเลือกความปลอดภัยที่ดีและทันสมัยที่สุดอย่างหนึ่งในยุคนี้ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ในสมัยก่อน การติดตั้งกล้องวงจรปิด จะนิยมติดภายในอาคาร สถานที่ต่างๆ แต่การติดตั้งกล้องวงจรปอดภายในบ้าน ยังไม่เป็นที่นิยม แต่ในสมัยนี้กล้องวงจรปิด สามารถหาซื้อได้ง่ายและมีราคาที่ไม่แพงมาก มีหลายขนาดให้สามารถเลือกใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ จึงทำให้หลายคนสนใจติดตั้งกล้องในบริเวณบ้านของตัวเองมากยิ่งขึ้น แต่อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นว่า กล้องวงจรปิดก็มีหลายขนาด หลายราคา ซึ่งการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ดีและให้มีความคุ้มค่ามากที่สุด ก็คือ การเลือกใช้กล้องวงจรปิดให้เหมาะสมกับพื้นที่ และสถานที่ที่เราจะนำมาใช้ ซึ่งเราจะมาพูดถึงการติดตั้งกล้องวงจรปิดให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่สนใจอยากจะติดตั้งกล้องภายในบ้าน หรือสถานที่ของตัวเอง เพื่อที่จะได้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

โดยทั่วไปหลักการเลือกซื้อกล้องวงจรปิดสำหรับติดตั้งที่บ้านพักนั้น จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือกล้องติดภายในอาคารและกล้องติดภายนอกอาคาร กล้องวงจรปิดภายในอาคารนั้นอาจเลือกใช้ทั้งแบบมีสาย-ไร้สาย หรือระบบเครือข่ายก็ได้ แต่จะแนะนำให้ใช้กล้องประเภทโดมหรือกล้องวงจรปิดที่มีขนาดเล็ก โดยเฉพาะกล้องไร้สายที่เหมาะกับบ้านชั้นเดียว บ้านที่มีพื้นที่โล่ง และไม่ใหญ่มาก หรือติดเฉพาะภายในห้อง ซึ่งสามารถติดตั้งตามมุมผนังหรือฝ้าเพดานบ้านได้สะดวกและดูเรียบร้อย  ส่วนภายนอกอาคารนั้น ควรเลือกกล้องวงจรปิดแบบมีสาย หรือกล้องแบบเครือข่าย IP Camera เนื่องจากมีความทนทาน ทนต่อสภาพอากาศ กันฝุ่นกันน้ำ และควรเลือกกล้องที่มีวิสัยทัศน์การมองเห็นเวลากลางคืนดี มีฟังก์ชั่นตรวจจับการเคลื่อนไหว ซึ่งจะช่วยตรวจจับการเคลื่อนที่ของวัตถุหรือตรวจจับผู้บุกรุกได้

หรือถ้าหากอยากจะติดตั้งกล้องในออฟฟิส ควรเลือกกล้องที่เหมาะสำหรับการติดตั้งภายในอาคารและนอกอาคารภายในอาคารแนะนำเป็นกล้องวงจรปิดทรงกระบอกหรืออาจจะเลือกกล้องวงจรปิดที่มีไมค์โครโฟนติดตั้งในห้องที่สำคัญๆ เพื่อดูพฤติกรรมของพนักงาน ในขณะเดียวกัน การติดตั้งกล้องในร้านค้านั้น เป็นสถานที่ที่คนแปลกหน้าเข้าออกบ่อยที่สุด และมีความเสี่ยงต่อการสูญหายของทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ควรเลือกกล้องวงจรปิดที่มีความคมชัดสูง ความละเอียดภาพค่อนข้างมาก หากเป็นร้านขนาดเล็กส่วนใหญ่นิยมเป็นกล้องวงจรปิดไร้สายแบบโดมเพราะติดตั้งง่าย ราคาไม่แพง เหมาะสมกับพื้นที่อีกด้วย หากติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้างสรรพสินค้าหรืออาคารขนาดใหญ่

ซึ่งเป็นสถานที่ที่ควรระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยให้มากที่สุด ควรติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในตัวอาคารให้มองเห็นโดยรอบ ให้ครอบคลุมอาคารมากที่สุด และพื้นที่สุดท้ายคือ ในโรงงานหรือโกงดังสินค้า กล้องวงจรปิดที่นิยมติดตั้งและเหมาะสมที่สุดคือกล้องวงจรปิดระบบ IP Camera เพราะด้วยความเสถียรของระบบและความคมชัดของภาพทั้งภาพกลางวันและกลางคืน จะช่วยเอื้ออำนวยในการตรวจตราความปลอดภัยของสินค้าและตรวจดูพฤติกรรมของพนักงานในขณะทำงานได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็เพื่อที่จะได้ให้ทุกคนได้ทราบถึงการเลือกใช้อุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อที่จะสามารถใช้กล้องวงจรปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะได้เกิดความคุ้มค่าในการเลือกใช้ด้วย

หากต้องการติดตั้งกล้องวงจรปิด ไม่ว่าจะเป็นในอาคารขนาดใหญ่หรือตามบ้านเรือน หรืออยากใช้บริการการซ่อมบำรุงรักษาอาคาร สามารถติดต่อเราได้ เพราะเป้นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบต่างๆภายในอาคาร สามารถให้บริการได้อย่างมืออาชีพ มีการอบรมพนักงานเพื่อให้ความรู้ ให้สามารถรับมือกับปัญหาของลูกค้าและสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลกค้าตามเป้าหมายของเรา

14
ซ่อมบำรุงอาคาร: สิ่งที่ควรระวังในการซ่อมหลังคาคอนกรีต
 
โครงสร้างของหลังคา ถือเป็นโครงสร้างส่วนที่สำคัญของบ้านอย่างมาก ซึ่งหลังคามีหน้าที่กันแดด กันฝนให้กับบ้านของเราและผู้อยู่อาศัย โดยโครงสร้างหลังคาจะต้องมีความแข็งแรงทนทานและรับแรงลมได้ดี ปัญหาหลักๆ ที่มักพบบ่อยสำหรับโครงสร้างหลังคา มักจะเป็นเรื่องของการเกาะยึดของตัวหลังคากับโครงหลังคา เมื่อมีลมพายุพัดมาแรงๆ หลังคาจะเกิดความไม่มั่นคง และมีโอกาสหลุดได้


นอกจากนี้ ปัญหาที่มักพบบ่อยเป็นเรื่องของการรั่วซึม แตกร้าว สาเหตุมักเกิดมาจากวัสดุมุงหลังคา ซึ่งในปัจจุบัน หลายบ้านเลือกใช้กระเบื้องหลังคาคอนกรีต ถือว่าเป็นทางเลือกยอดฮิตในการสร้างบ้านที่มีความทันสมัย สำหรับผู้ที่ต้องการหลังคาบ้านที่ความแข็งแรง พร้อมกับดีไซน์ที่โดดเด่น สวยงาม ทำให้บ้านดูมีความมั่นคงและภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์


เนื่องจากกระเบื้องหลังคาคอนกรีตเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติด้านการใช้งานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง กระเบื้องหลังคาคอนกรีตทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ ลมพายุ แสงแดด ความร้อนและฝนตกที่สามารถรับมือได้เป็นอย่างดี อีกทั้งกระเบื้องหลังคาคอนกรีตยังมีราคาที่ไม่แพง มีขนาดที่พอดี แต่ถ้าหากหลังคาคอนกรีตของเรา เกิดการรั่วซึม เราาจะต้องรับมืออย่างไร วันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งที่เราจะต้องระมัดระวังในการซ่อมหลังคาคอนกรีต เพราะการซ่อมแซมได้ทันเวลาและการบำรุงรักษาตามปกติจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าไม่มีความเสียหายโครงสร้าง
 
ปัญหาหลังคารั่วซึม อาจเกิดขึ้นได้กับทุกบ้าน มีหลายสาเหตุ และอาจลุกลามใหญ่โตได้หากไม่รีบแก้ไข ส่วนใหญ่กระเบื้องหลังคาคอนกรีตแบน มักจะมีปัญหาก็คือการรั่วไหลของน้ำ เมื่อมีการรั่วไหลของกระเบื้องหลังคาคอนกรีตราบเรียบ การแก้ไขอย่างรวดเร็วมักใช้วัสดุซีเมนต์หรือซีเมนต์กันน้ำบางชนิดที่บริเวณที่มีการรั่วไหล


เกือบทุกครั้งรอยแตกจะเต็มไปด้วยวัสดุกาวที่คล้ายกันเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การกันน้ำทั้งกระเบื้องหลังคา โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งที่รั่วไหลอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น เราจะต้องทำการตรวจสอบและซ่อมแซมพื้นที่ที่อยู่เหนือรั่วไหล เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หากมีการรั่วไหลอย่าจำกัด การตรวจสอบไปยังพื้นที่ที่อยู่เหนือรั่วไหล ต้องตรวจสอบด้านข้างมุมท่อระบายน้ำและที่อื่น ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงบางครั้งรอยรั่ว อาจไม่สามารถมองเห็นได้บนพื้นผิว เพราะคอนกรีตซึมผ่านได้ ดังนั้น การระบายน้ำหรือการเก็บรวบรวมน้ำ ณ จุดใดจุดหนึ่งอาจทำให้เกิดการรั่วซึมที่จุดอื่นได้อีก
 
นอกจากนี้ต้องระวังในเรื่องของการรั่วไหลของกระเบื้องคอนกรีต มักจะได้รับการแก้ไขโดยการเปลี่ยนหรือวางตำแหน่งกระเบื้อง ในขณะที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนกระเบื้องที่แตกและเปลี่ยนตำแหน่งกระเบื้อง หากไม่ได้รับการปรับให้พอดีกับบางครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นจริงอยู่ใต้พื้นผิว เมื่อการรั่วไหลเกิดขึ้นในกระเบื้องหลังคากระเบื้องคอนกรีต การซ่อมแซมอาจมีส่วนทำให้เกิดการฉีกขาดอีกครั้ง


ซึ่งอาจจะต้องเอากระเบื้องทั้งหมดออกและวางตำแหน่งใหม่ อย่างไรก็ตาม กระเบื้องหลังคาคอนกรีต ไม่ว่าจะติดตั้งได้อย่างถูกต้องหรือไม่ ก็สามารถเกิดปัญหาขึ้นได้ในระยะยาว เราจึงควรพิจารณาถึงความสำคัญของกระเบื้องหลังคา ความเหมาะสมในการใช้งาน เพื่อให้เกิดปัญหาได้น้อยที่สุด ดังนั้น หากมีปัญหาเกี่ยวกับการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาอาคารบ้านเรือน หรือสถานที่ต่างๆ และไม่สามารถแก้ไขในเบื้องต้นได้ ต้องทำการติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาแก้ไขโดยด่วน เพราะถ้าหากปล่อยไว้ อาจจะทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น และอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น


ทางเรา ให้บริการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบเครื่องจักรประกอบอาคารทั้งในอาคารโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าและที่พักอาศัย โดยให้บริหาร จัดการแบบครบวงจร โดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิคเฉพาะทาง ที่มีประสบการณ์การงาน บำรุงรักษาระดับมืออาชีพ สามารถออกแบบวางแผนการบำรุงรักษาอาคาร  เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกสบาย และความปลอดภัย รวมไปถึงช่วยให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ภายในอาคารบ้านเรือนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

15
บริการด้านอาหาร: อาหารบำรุงเลือด ป้องกันเลือดจาง
 
การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นสิ่งที่สำคัญต่อร่างกายของคนเรา จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหารเป็นสิ่งที่รับประทานเข้าไปแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยทำให้เรามีพลังงาน ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยควบคุมอวัยวะต่างๆของร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ อาหารเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเรา ซึ่งในแต่ละวัยร่างกายต้องการอาหารในปริมาณและสารอาหารที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ควรให้ได้ทั้งปริมาณทั้งคุณภาพ


ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ซึ่งอาหารก็ถือว่าเป็นยารักษาโรคอย่างหนึ่ง ถ้าหากเรารับประทานอาหารอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยได้ แถมยังช่วยบำรุงร่างกายของเราด้วย ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันภาวะเลือดจางได้ ซึ่งอาการเลือดจาง มีสาเหตุของการเกิดโรคทั้งที่ควบคุมไม่ได้ และควบคุมได้ เช่น การขาดสารอาหารสำคัญที่ช่วยผลิตเม็ดเลือดแดงโดยเฉพาะธาตุเหล็ก คนที่มีภาวะเลือดจางจึงต้องให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารเพื่อส่งเสริมให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้มากขึ้นนั่นเอง

 
ซึ่งต้องบอกว่า สารอาหารและโภชนาการต่าง ๆ ที่เราบริโภคในชีวิตประจำวัน อาจมีส่วนช่วยในการบำรุงเลือดให้มีสุขภาพที่ดีได้ด้วย แม้ว่าสารอาหารบางอย่างจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย แต่ในแง่การบำรุงเลือดนั้น เราต้องรับประทานอย่างถูกต้อง โดยอาหารที่ช่วยบำรุงเลือดได้แก่ เนื้อปลา ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงแต่ให้แคลอรี่ต่ำ และอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่พบได้ในไขมันปลา โดยเฉพาะในปลาแซลมอน ทูน่า ซาร์ดีน แมคเคอเรล ควรรับประทานปลาในมื้ออาหารอย่างน้อย 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้ได้รับสารโอเมก้า-3 ในปริมาณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย


นอกจากนี้ ควรรรับประทานธัญพืช ที่เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ทั้งโปรตีน เส้นใยอาหาร วิตามินบี สารต้านอนุมูลอิสระ ธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง และแมกนีเซียม โดยสามารถรับประทานธัญพืชได้อย่างหลากหลาย เช่น ขนมปังธัญพืช ถั่ว งา เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ จมูกข้าว ข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง เป็นต้น โดยการรับประทานธัญพืชร่วมกับเนื้อปลา มีผลทางการรักษาต่อกลุ่มอาการเมตาบอลิก ซึ่งเป็นภาวะความผิดปกติที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด พบว่าอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดไขมันดีในเลือด ช่วยป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือด


ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งหรือโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอุดตันสะสมของไขมันในเลือดได้ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์จากเนื้อปลา ก็จะช่วยลดไขมันชนิดเลวในเลือดได้เช่นกัน ซึ่งเป็นผลดีในการป้องกันความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ สำหรับการป้องกันความเสี่ยงการเกิดเลือดจาง ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพราะธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง และช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงในช่วงที่เสียเลือด เช่น ช่วงมีประจำเดือน ช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัด เป็นต้น


หากขาดธาตุเหล็กจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเลือดจาง โดยอาหารที่ควรรับประทานเพื่อช่วยป้องกันเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อไก่ ตับ ปลาแซมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ฟักทอง งา ซีเรียล เป็นต้น และที่สำคัญต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการป่วยหรือโรคภัยต่าง ๆ ด้วยการรับประทานอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ มีประโยชน์ทางโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

 
อย่างไรก็ตาม เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเราจะต้องดูแลตัวเองให้มากๆ ดื่มน้ำมากๆ และต้องคชตระหนักถึงความปลอดภัยของสุขภาพร่างกายของเราในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งถ้าเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี แข็งแรง ก็จะช่วยทำให้เราลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือลดความเสี่ยงของอาการเจ็บป่วยได้ ดังนั้น เราจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้เราห่างไกลจากโรค

หน้า: [1] 2 3 ... 95