เคยมั้ย? อยากรีไฟแนนซ์บ้าน แต่ไม่รู้เริ่มต้นยังไงดีสำหรับคนที่กำลังผ่อนบ้านมาสักระยะหนึ่งแล้ว จะเห็นได้ว่าโปรโมชั่นดอกเบี้ยที่เรากำลังผ่อนสบายๆ อยู่นี้ จะหมดโปรฯ ลงไปในไม่ช้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะอยู่ในช่วง 3 ปีแรก (ตามเงื่อนไขในสัญญา) และหลังจากนี้ดอกเบี้ยที่ดำเนินต่อไปก็จะสูงขึ้น แพงขึ้น แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะได้ดอกเบี้ยที่เท่าเดิมหรือถูกลง ดังนั้น บรรดาสถาบันการเงินต่างๆ จึงต้องออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อมาเพื่อตอบสนองผู้บริโภคอย่างเราๆ ด้วยการจัดผลิตภัณฑ์ Refinance ขึ้นมา พร้อมกับจูงใจลูกค้าด้วยการเสนอดอกเบี้ยต่ำ และโปรโมชั่นอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อนๆ เคยสงสัยกันมั้ยค่ะว่าถ้าเราต้องการจะ Refinance บ้าน จะต้องเริ่มต้นยังไง? วันนี้มีคำตอบมาให้ทุกคนทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมกับการ Refinance แล้วค่ะ
การ "Refinance" บ้านคืออะไร?
"รีไฟแนนซ์" (Refinance) คือ การกู้ยืมเงินสินเชื่อก้อนใหม่เพื่อไปโปะหนี้ก้อนเดิม เนื่องจากได้รับผลประโยชน์หรือข้อเสนอที่ดีกว่าสัญญาเงินกู้ก้อนเดิม โดยจุดประสงค์ก็ขึ้นอยู่กับผู้กู้เอง บางคนรีไฟแนนซ์เพื่อเป็นการลดดอกเบี้ยเดิม หรือบางคนรีไฟแนนซ์เพื่อต้องการมีเงินส่วนต่างมาใช้จ่าย เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการรีไฟแนนซ์ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม...จำไว้เสมอนะคะว่า ต้องคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเพราะมันจะส่งผลทำให้เราเป็นหนี้ระยะยาวขึ้นนั่นเอง
มีเหตุผลอะไรบ้าง...ที่ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ Refinance?
จากความหมายของการรีไฟแนนซ์ข้างต้น เพื่อนๆ ก็พอจะเข้าใจกันแล้วนะคะว่ารีไฟแนนซ์คืออะไร มีประโยชน์ยังไง...คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่าทำไมเราจะต้องเลือกรีไฟแนนซ์แทนการผ่อนชำระต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้คนหันมาขอกู้เงินด้วยการ Refinance ก็มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ ดังนี้
เพื่อให้มีภาระผ่อนชำระน้อยลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าดอกเบี้ยจากการกู้ซื้อบ้านจะเป็นแบบลอยตัว โดยช่วงแรกดอกเบี้ยที่ได้รับจะมีอัตราที่ค่อนข้างต่ำเพื่อเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้กู้รายใหม่สนใจและเลือกที่จะกู้ซื้อบ้านกับสถาบันการเงินนั้นๆ (ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3 ปีแรก) แล้วหลังจากนั้นดอกเบี้ยที่เคยต่ำก็จะลอยตัวสูงขึ้นตามลำดับที่เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ แต่ละสถาบันการเงินก็จะไม่เท่ากัน ดังนั้น เราในฐานะผู้กู้จะต้องตรวจสอบดูส่วนต่างระหว่างการผ่อนต่อกับสถาบันการเงินเดิม หรือการเริ่มรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินใหม่ที่ไหนคุ้มค่ากว่ากัน ทำการบวกลบคูณหารให้ดี หากมีกำไรคุ้มค่าจากการรีไฟแนนซ์ที่ใหม่ ก็ทำการย้ายไปได้เลยค่ะ
เพื่อนำส่วนต่างออกมาใช้จ่าย แน่นอนว่าการรีไฟแนนซ์บ้านทุกครั้งจะต้องมีการประเมินมูลค่าของหลักทรัพย์ค้ำประกันใหม่ทุกครั้ง ซึ่งก็คือบ้านที่เรากำลังผ่อนอยู่นั่นเอง และส่วนใหญ่แล้วราคาบ้าน ราคาที่ดิน ก็จะมีการเพิ่มมูลค่าขึ้นทุกปี จึงทำให้เงินจากการขอรีไฟแนนซ์นั้นได้มาเยอะกว่าหนี้สินที่เหลืออยู่ ซึ่งเกิดเป็นส่วนต่างที่เราสามารถนำเงินจำนวนนั้นมาใช้จ่ายได้ และทำให้หลายคนขอกู้รีไฟแนนซ์ด้วยเหตุผลนี้เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินลดลง จำเป็นจะต้องมีเงินสดมาหมุนเวียนซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งเอามาใช้หมุนเวียนในธุรกิจ หรือชำระหนี้สินอื่น เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น
4 เทคนิคเริ่มต้น "รีไฟแนนซ์"
การตัดสินใจว่าจะรีไฟแนนซ์หรือไม่นั้น เราควรพิจารณาหลายๆ ด้านนะคะ เพราะถ้าจะทำแล้วต้อง "คุ้มค่า" ที่สุด คือทำแล้วต้องดีกว่าเดิม ซึ่งคงจะมีหลายคำถามตามมาว่า...แล้วจะมีวิธีเลือกอย่างไร ให้การรีไฟแนนซ์ครั้งนี้เป็นไปด้วยความคุ้มค่าที่สุด วันนี้เรามีคำตอบมาให้ทุกคนด้วย 4 เทคนิคเริ่มต้น "รีไฟแนนซ์" มาฝากค่ะ
1. เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เก่า และใหม่
เราควรดูและตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยของหลายๆ ธนาคารที่มีบริการผลิตภัณฑ์รีไฟแนนซ์มาเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารเดิมที่กำลังจะปรับเพิ่มขึ้น คำนวณดูว่าธนาคารไหนเสนอดอกเบี้ยถูกที่สุด คุ้มที่สุด ยิ่งมีโปรโมชั่นยิ่งดีค่ะ (ดูอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านธนาคารไหนถูกสุด?...ดูได้ที่นี่ และสินเชื่อรีไฟแนนซ์ (REFINANCE) บ้าน แบงค์ไหนถูก? แบงค์ไหนแพง?)
2. คำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากการขอ Refinance
สอบถามค่าธรรมเนียมทุกอย่างจากธนาคารที่ขอกู้รีไฟแนนซ์ให้ครบถ้วน นำมาบวก ลบ คูณ หาร ให้เรียบร้อย แล้วดูว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดมันคุ้มหรือไม่ เพราะการรีไฟแนนซ์ก็คือการขอกู้เงินก้อนใหม่ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับธนาคารก็ต้องเริ่มใหม่เช่นกัน ซึ่งมีทั้ง
ค่าสรุปยอดหนี้
ค่าประเมินทรัพย์สิน ประมาณ 2,500 บาท - 0.25% ของราคาประเมิน (จ่ายให้กับสถาบันการเงินใหม่)
ค่าธรรมเนียมสินเชื่อตามสัญญาใหม่ ประมาณ 0 - 1% ของวงเงินกู้ใหม่ (จ่ายให้กับสถาบันการเงินใหม่)
ค่าอากรแสตมป์ ประมาณ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ (จ่ายให้กับสถาบันการเงินใหม่)
ค่าประกันอัคคีภัย ประมาณ 2,000 บาทต่อปี สำหรับบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท (จ่ายให้กับสถาบันการเงินใหม่)
ค่าออกเช็ค, ค่านิติกรรม ประมาณ 1,000 - 2,000 บาท
ค่าไถ่ถอน (จ่ายให้กับกรมที่ดิน)
ค่าจดจำนอง ประมาณ 1% ของวงเงินกู้ (ไม่เกิน 200,000 บาท) (จ่ายให้กับกรมที่ดิน)
ค่าปรับปิดบัญชีก่อนกำหนด (กรณีไถ่ถอนจากสินเชื่อเดิมก่อนกำหนดจากสถาบันการเงินเดิม) ประมาณ 2-3% ของวงเงินกู้ทั้งจำนวน โดยอาจจะคิดจากมูลหนี้ที่เหลืออยู่ (จ่ายให้กับสถาบันการเงินเดิม กรณีรีไฟแนนซ์ก่อนครบกำหนด)
ทั้งหมดนี้ ค่าธรรมเนียมบางอย่างในช่วงโปรโมชั่นของบางธนาคารก็อาจจะได้รับยกเว้น เพราะฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องตรวจสอบให้รอบคอบก่อนที่จะต้องเสียเงินไปแบบไม่คุ้มค่านะคะ ตัวอย่างเช่น
โปรโมชั่นสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
รีไฟแนนซ์บ้าน ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% ฟรี 3 ต่อ
ฟรี! ค่าจดจำนอง สูงสุด 100,000 บาท
ฟรี! ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์
ฟรี! ค่าอากรแสตมป์
รีไฟแนนซ์บ้านและขอวงเงินเพิ่ม ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99%
ฟรี 3 ต่อ ไม่เข้าร่วมรายการ
ระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. - 31 ธ.ค. 60
3. ศึกษาเงื่อนไขจากสัญญาเงินกู้เดิม และใหม่ให้ละเอียด
ก่อนคิดจะตัดสินใจขอกู้สินเชื่อรีไฟแนนซ์นั้น เราต้องดูเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ฉบับเดิมด้วยว่า ต้องผ่อนชำระขั้นต่ำกี่ปีถึงจะไม่ต้องเสียค่าปรับ (ส่วนใหญ่ประมาณ 3 ปี) ถ้าเราขอรีไฟแนนซ์ก่อนระยะเวลาที่เงื่อนไขกำหนดอาจจะทำให้เราต้องเสียทั้งค่าปรับจากสัญญาฉบับเดิม และเสียค่าธรรมเนียมใหม่จากสัญญาเงินกู้ใหม่ด้วย ซึ่งไม่คุ้มแน่นอน (แบบนี้ไม่แนะนำให้รีไฟแนนซ์นะคะ เพราะมีแต่เสียกับเสีย) และควรดูด้วยว่าการ Refinance ต้องมีขั้นตอนในสัญญาเดิมอะไรบ้าง..เช่นต้องแจ้งล่วงหน้า 30 วัน เป็นต้น
4. นำเงินส่วนต่างมาใช้ให้เกิดประโยชน์
บางครั้งการรีไฟแนนซ์จะทำให้เราได้เงินส่วนต่างจากการประเมินหลักทรัพย์ที่สูงกว่าหนี้ก้อนเดิม ดังนั้น เมื่อเราได้เงินส่วนต่างจำนวนนี้มาเราควรใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ถ้าใครมีหนี้บัตรเครดิตก็ควรเอาไปปิดหนี้บัตรให้หมด หรือใครมีหนี้สินเชื่อบุคคลก็ควรเอาไปปิดหนี้สินเชื่อให้หมด เพราะดอกเบี้ยจากสินเชื่อพวกนี้แพงกว่าสินเชื่อรีไฟแนนซ์แน่นอนค่ะ ส่วนในทางกลับกันถ้าเราไม่จำเป็นต้องใช้เงินส่วนต่างนี้เราสามารถแจ้งสถาบันการเงินใหม่ได้ หากต้องการกู้เงินเท่ากับจำนวนหนี้สินที่ค้างอยู่ ในกรณีนี้จะทำให้เราได้ทั้งดอกเบี้ยที่ต่ำลง และหนี้สินที่หมดเร็วขึ้นนะคะ
เคล็ดลับจากเทคนิคที่นำเสนอนี้ เป็นสิ่งที่เราควรฉุกคิดก่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งความคุ้มค่าจากการรีไฟแนนซ์ในทุกครั้ง ที่สำคัญนอกเหนือจากความคุ้มค่าในการผ่อนชำระแล้ว เราต้องพยายามใช้หนี้ก้อนนั้นให้หมดเร็วที่สุด พร้อมกับการวางแผนการใช้เงินของเรา โดยพยายามอย่าให้ตัวเองเดือดร้อน พิจารณาและคำนวณวงเงินให้ดีๆ เพราะถ้าเรายื่นกู้เงินไปแล้วได้รับการอนุมัติวงเงินที่เยอะเกินไป สุดท้ายเราอาจจะผ่อนไม่ไหวทำให้เกิดปัญหาเป็นดาบสองคมให้ตัวเราเองได้
ขั้นตอนการ "Refinance" บ้านต้องทำยังไง?
หลังจากที่เราตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำการรีไฟแนนซ์แน่นอน สิ่งที่เราควรทำก็ไม่มีอะไรยุ่งยากเลยค่ะ โดยพิจารณา 2 ข้อนี้ก่อน ดังนี้
กรณี "รีไฟแนนซ์" บ้านเพื่อให้มีภาระผ่อนชำระน้อยลง เราต้องตรวจสอบกับสถาบันการเงินว่าที่ไหนให้อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด เงื่อนไขดีที่สุด และโปรโมชั่นเจ๋งที่สุด มีขั้นตอนต้องแจ้งหรือขอความยินยอมจากธนาคารหรือไม่? ถ้าเลือกได้แล้วก็จัดการยื่นเอกสารได้เลยค่ะ
กรณี "รีไฟแนนซ์" บ้านเพื่อนำส่วนต่างออกมาใช้จ่าย ถ้าในเวลานั้นเรามีภาระที่ต้องดำเนินการ เช่น ใช้หมุนเวียนธุรกิจ, ปิดบัญชีบัตรเครดิต หรือปิดบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคล สิ่งที่เราต้องทำ คือ ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ดีที่สุด แล้วลองยื่นเอกสารกับสถาบันการเงินที่ถูกใจอย่างน้อย 3 แห่งขึ้นไป หลังจากนั้นดูผลว่าสถาบันการเงินไหนประเมินราคาหลักทรัพย์และให้วงเงินกู้สูงสุดก็ให้เลือกสถาบันการเงินนั้น (สาเหตุที่ต้องลองยื่นเอกสารหลายแห่งก็เพราะบริษัทประเมินราคาของแต่ละสถาบันการเงินจะเป็นคนละบริษัทกัน ซึ่งอาจทำให้จำนวนเงินกู้ที่จะ Refinance ได้ แตกต่างกันพอสมควร)
เริ่มขั้นตอนการรีไฟแนนซ์ด้วย...
ติดต่อขอรายการสรุปยอดหนี้สินเชื่อบ้านกับสถาบันการเงินเดิม
นำรายการยอดหนี้ที่ได้มาไปยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้านกับสถาบันการเงินใหม่
รอเจ้าหน้าที่มาดำเนินการประเมินราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน (บ้าน)
รอผลอนุมัติสินเชื่อรีไฟแนนซ์
กรณีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ได้รับการอนุมัติแล้ว ให้นำเอกสารไปไถ่ถอนบ้านจากสินเชื่อเงินกู้ฉบับเดิม
เริ่มทำสัญญาสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินใหม่ พร้อมกับนัดวันโอนบ้านที่ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทั้งจากสถาบันการเงินเดิม และใหม่
กรณีที่สินเชื่อรีไฟแนนซ์ได้วงเงินกู้สูงกว่าราคาไถ่ถอน เราจะได้รับเช็ค 2 ฉบับ แบ่งเป็นเช็คสำหรับไถ่ถอน และเช็คส่วนต่างที่สามารถนำไปใช้จ่ายได้
ดำเนินการจัดการเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน เขตที่บ้านตั้งอยู่ โดยมีเจ้าหน้าที่จากทั้ง 2 สถาบันการเงินไปด้วย
ยื่นโฉนดที่ดินให้กับสถาบันการเงินผู้ให้กู้สินเชื่อฉบับใหม่ ขั้นตอนเสร็จสิ้น
เมื่อยื่นกู้ "Refinance" ต้องระวังอะไรบ้าง?
การรีไฟแนนซ์นับได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีของคนที่ต้องการใช้ประโยชน์จากสินเชื่อประเภทนี้ แต่ถ้าเราใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นโดยไม่ระวังก็อาจจะทำให้เราได้รับโทษจากสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นทาง CheckRaka.com จึงไม่พลาดที่จะเตือนเพือนๆ ด้วย "ข้อควรระวัง" จากการใช้สินเชื่อรีไฟแนนซ์ มาฝากกันค่ะ (ย้ำกันให้เข้าใจ จะได้ไม่ลืมนะคะ)
ควรคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรีไฟแนนซ์ให้ดี เพราะอาจทำให้การตัดสินใจในครั้งนี้ไม่คุ้มค่า
Rate อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของแต่ละสถาบันการเงินไม่เท่ากัน การเปรียบเทียบดอกเบี้ยหลังหมดโปรโมชั่นของแต่ละสถาบันการเงินจึงไม่เท่ากัน
บางสถาบันการเงินเราสามารถต่อรองดอกเบี้ยหลังจากหมดโปรโมชั่นได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องขอรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินใหม่ แถมยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมอื่นเพิ่มเติม
ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บางสถาบันการเงินอาจมีเงื่อนไขพิเศษ เช่น ฟรีค่าจดจำนอง ซึ่งเหมาะกับคนที่ไม่สะดวกเตรียมค่าจดจำนองในวันโอนกรรมสิทธิ์
ประกันภัย หรือประกันชีวิตต่างๆ ที่สถาบันการเงินขายคู่กับสินเชื่อนั้น เราสามารถต่อรองได้ และควรเลือกที่เหมาะสมกับเราที่สุด
ตัวอย่างสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านที่น่าสนใจ
"รีไฟแนนซ์บ้าน" ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เป็นสินเชื่อเพื่อการไถ่ถอนสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น ช่วยลดภาระด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ เปลี่ยนบ้านหลังเดิมมาเป็น "บ้านประหยัดดอกเบี้ย" รีไฟแนนซ์บ้าน" ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29%
รีไฟแนนซ์บ้าน ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% ฟรี 3 ต่อ
ฟรี! ค่าจดจำนองสูงสุด 100,000 บาท
ฟรี! ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์
ฟรี! ค่าอากรแสตมป์
ระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. - 31 ธ.ค. 60
รีไฟแนนซ์บ้านและขอวงเงินเพิ่ม* ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99%
*ฟรี 3 ต่อ ไม่เข้าร่วมรายการ