แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 115
1
ไอเดียของตกแต่งบ้านแบบ DIY ที่จะเผยให้เห็นสไตล์ส่วนตัวของคุณ

การแต่งบ้านด้วยของตกแต่ง DIY เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการเผย สไตล์ส่วนตัว ของคุณออกมาค่ะ เพราะแต่ละชิ้นงานจะสะท้อนความชอบ งานอดิเรก หรือแม้กระทั่งความทรงจำของคุณได้อย่างแท้จริง ทำให้บ้านของคุณไม่เหมือนใครและเต็มไปด้วยเรื่องราว

DIY ของตกแต่งบ้าน: เผยสไตล์ส่วนตัวของคุณ

นี่คือไอเดียของตกแต่งบ้านแบบ DIY ที่จะช่วยให้บ้านของคุณมีเอกลักษณ์และน่าอยู่ยิ่งขึ้นค่ะ


1. งานศิลปะบนผนังที่สร้างสรรค์ (Personalized Wall Art)

ผนังบ้านคือผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่รอให้คุณสร้างสรรค์!

ภาพพิมพ์สไตล์ Abstract จากธรรมชาติ:

ไอเดีย: เก็บใบไม้ ดอกไม้ หรือวัสดุธรรมชาติที่มีลวดลายสวยงาม (เช่น กิ่งไม้เล็กๆ) มาทาสีอะคริลิค แล้วประทับลงบนผ้าแคนวาส หรือกระดาษคราฟต์

เผยสไตล์: ถ้าคุณเป็นคนรักธรรมชาติ ชอบความเรียบง่ายแต่มีรายละเอียด ภาพพิมพ์จากธรรมชาติจะช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเป็นส่วนตัว

งานศิลปะจากเศษวัสดุ (Upcycled Art):

ไอเดีย: รวบรวมวัสดุเหลือใช้ เช่น ฝาขวด, ชิ้นส่วนโลหะ, ลูกปัด, เศษผ้า, หรือแม้แต่เศษไม้ มาจัดเรียงและติดลงบนแผ่นไม้หรือผ้าแคนวาส สร้างเป็นงานคอลลาจ (Collage) หรือภาพนูนต่ำ

เผยสไตล์: เหมาะสำหรับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ รักการรีไซเคิล และชอบงานที่มีเท็กซ์เจอร์และเรื่องราว

ภาพวาด/ภาพเพ้นท์สไตล์ Color Block:

ไอเดีย: ใช้เทปกาวแบ่งพื้นที่บนผ้าแคนวาส (หรือแม้กระทั่งบนผนังบางส่วน) เป็นรูปทรงเรขาคณิต แล้วทาสีอะคริลิคลงไปในแต่ละบล็อกสี เมื่อแห้งแล้วลอกเทปกาวออก ก็จะได้งานศิลปะสไตล์โมเดิร์น

เผยสไตล์: ถ้าคุณชอบความเรียบง่าย ทันสมัย การใช้สีที่โดดเด่นแต่ลงตัว ภาพสไตล์นี้จะเข้ากับสไตล์คุณ


2. ของใช้ในบ้านที่ปรับแต่งเฉพาะ (Personalized Home Accessories)

เปลี่ยนของใช้ธรรมดาให้เป็นของที่มีความหมายและไม่เหมือนใคร

ปลอกหมอนอิงเพ้นท์/ปักลาย:

ไอเดีย: ซื้อปลอกหมอนอิงผ้าฝ้าย/ผ้าลินินสีพื้น มาเพ้นท์ลายด้วยสีสำหรับผ้า อาจเป็นลายเส้นง่ายๆ, ตัวอักษรย่อ, คำคมที่ชอบ, หรือลายที่สื่อถึงงานอดิเรกของคุณ (เช่น รูปหนังสือ, รูปกล้องถ่ายรูป)

เผยสไตล์: เป็นวิธีง่ายๆ ในการเติมสีสันและบุคลิกให้กับโซฟาหรือเตียงนอนของคุณ

เชิงเทียน/แจกันเพ้นท์ลาย หรือติดวัสดุ:

ไอเดีย: นำเชิงเทียนหรือแจกันเก่าๆ ที่ไม่ใช้แล้ว มาทำความสะอาด แล้วเพ้นท์ลายกราฟิก, ลายจุด, ลายทาง, หรือติดเศษแก้ว/ลูกปัด/เชือก เพื่อเพิ่มเท็กซ์เจอร์และสีสัน

เผยสไตล์: หากคุณเป็นคนชอบของสวยๆ งามๆ มีสไตล์วินเทจ หรือชอบงานฝีมือที่ดูประณีต

ถาดไม้/ที่รองแก้วเพ้นท์ลาย:

ไอเดีย: ซื้อถาดไม้ดิบ หรือแผ่นไม้สำหรับทำที่รองแก้ว มาขัด ทาสีรองพื้น แล้วเพ้นท์ลวดลายที่คุณชอบ อาจเป็นลาย Abstract, ลายใบไม้, ลายเรขาคณิต หรือลายที่เชื่อมโยงกับงานอดิเรก

เผยสไตล์: แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และความเป็นศิลปินในตัวคุณ


3. เฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กที่ปรับโฉม (Upcycled Small Furniture)

เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์เก่าให้มีชีวิตชีวาและสะท้อนสไตล์ใหม่

โต๊ะข้าง/เก้าอี้สตูลทาสีใหม่:

ไอเดีย: หาโต๊ะข้างหรือเก้าอี้สตูลเก่าๆ (จากตลาดมือสอง หรือของที่มีอยู่แล้ว) มาขัด ล้าง ทำความสะอาด แล้วทาสีใหม่ทั้งหมด หรือทาสีแบบ Color Block (ดังที่เคยแนะนำสำหรับแจกัน)

เผยสไตล์: เหมาะสำหรับคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบความสดใหม่ และมีมุมมองสร้างสรรค์ในการนำของเก่ามาใช้ใหม่

ชั้นวางของ/ลังไม้ดีไซน์ใหม่:

ไอเดีย: ใช้ลังไม้เก่ามาขัด ทำความสะอาด อาจทาสี ย้อมสี หรือเคลือบเงา แล้วนำมาจัดเรียงซ้อนกันเป็นชั้นวางของ หรือติดผนังเป็นช่องเก็บของเล็กๆ

เผยสไตล์: ถ้าคุณชอบสไตล์ Rustic, Farmhouse, หรือ Industrial ลังไม้ DIY จะเข้ากับสไตล์นี้ได้ดีเยี่ยม


4. ของตกแต่งที่สะท้อนงานอดิเรก (Hobby-Inspired Decor)

นำความชอบส่วนตัวมาเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่ง

มุมแสดงของสะสม:

ไอเดีย: สร้างชั้นวาง หรือกล่องโชว์สำหรับของสะสมของคุณ ไม่ว่าจะเป็น โมเดลฟิกเกอร์, แผ่นเสียง, กล้องถ่ายรูปเก่า, ถ้วยกาแฟสวยๆ หรือของที่ระลึกจากการเดินทาง

เผยสไตล์: นี่คือวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการบอกเล่าเรื่องราวความสนใจของคุณ


กรอบรูปโชว์ของชิ้นเล็ก:

ไอเดีย: นำกรอบรูปเก่ามาดัดแปลง โดยนำกระจกออก แล้วติดแผ่นรองด้านหลัง อาจจะเป็นผ้ากำมะหยี่ หรือกระดาษแข็ง แล้วนำของชิ้นเล็กๆ ที่มีความหมาย (เช่น เหรียญเก่า, จี้, ตั๋วเดินทาง) มาจัดเรียงและติดกาว

เผยสไตล์: แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียด และความเป็นนักเล่าเรื่องผ่านสิ่งของ

เคล็ดลับสำคัญในการ DIY ให้เผยสไตล์ส่วนตัว:

เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจ: ลองดู Pinterest, Instagram, หรือนิตยสารแต่งบ้าน แล้วบันทึกภาพที่คุณชอบ สังเกตว่าอะไรคือสิ่งที่คุณดึงดูด

เลือกสีและวัสดุที่คุณชอบ: อย่าจำกัดตัวเองตามเทรนด์ ให้เลือกสีที่คุณสบายใจ และวัสดุที่คุณรู้สึกดีเมื่อสัมผัส

ลงมือทำในแบบของคุณเอง: อย่ากลัวที่จะลองผิดลองถูก หรือปรับเปลี่ยนไอเดียให้เข้ากับความสามารถและเครื่องมือที่คุณมี

ของที่ "บอกเล่าเรื่องราว": ของตกแต่งที่ดีที่สุดคือของที่สามารถเล่าเรื่องราวของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความทรงจำ งานอดิเรก หรือความฝัน

การ DIY ของตกแต่งบ้านคือการสร้างสรรค์ "บ้าน" ที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อน "ตัวตน" ของคุณได้อย่างแท้จริงค่ะ ขอให้สนุกกับการสร้างสรรค์นะคะ!

2
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


3
เลือกประเภทและติดตั้ง ท่อลมร้อนอย่างถูกต้องเหมาะสม

การเลือกประเภทและติดตั้งท่อลมร้อนอย่างถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ต่อไปนี้คือขั้นตอนและข้อควรพิจารณาในการเลือกและติดตั้งท่อลมร้อน:

1. การประเมินความต้องการ:

กำหนดวัตถุประสงค์: ระบุวัตถุประสงค์ของการใช้งานท่อลมร้อน เช่น ระบายอากาศร้อนจากห้องครัว ห้องน้ำ หรือโรงงานอุตสาหกรรม
คำนวณปริมาณลม: คำนวณปริมาณลมที่ต้องการระบาย เพื่อเลือกขนาดท่อลมที่เหมาะสม
พิจารณาสภาพแวดล้อม: พิจารณาสภาพแวดล้อมที่ท่อลมจะถูกติดตั้ง เช่น อุณหภูมิ ความชื้น สารเคมี

2. การเลือกประเภทของท่อลม:

ท่อลมโลหะ: เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น งานระบายควัน งานเชื่อมโลหะ
ท่อลมผ้าใบ: เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นและเคลื่อนย้ายง่าย เช่น งานดูดฝุ่น งานระบายอากาศเฉพาะจุด
ท่อลมไฟเบอร์กลาส: เหมาะสำหรับงานระบายอากาศที่มีสารเคมีเจือปน
ท่อลมอลูมิเนียม: เหมาะกับระบบดูดควันและระบายอากาศถาวร

3. การเลือกขนาดและรูปแบบของท่อลม:

ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง: เลือกขนาดท่อให้เหมาะสมกับปริมาณลมที่ต้องการระบาย
รูปแบบท่อ:
ท่อลมแบบแข็ง (Rigid Duct) เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความทนทานและไหลเวียนอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง
ท่อลมแบบยืดหยุ่น (Flexible Duct) เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัดที่ต้องการการติดตั้งง่าย

4. การเลือกวัสดุของท่อลม:

เลือกวัสดุที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมในการใช้งาน เช่น อุณหภูมิ ความชื้น สารเคมี
วัสดุที่นิยมใช้ ได้แก่ เหล็กกล้าสังกะสี สแตนเลส อะลูมิเนียม และผ้าใบเคลือบ PVC

5. การติดตั้ง:

วางแผนเส้นทาง: วางแผนเส้นทางการเดินท่อลมให้เหมาะสม เพื่อลดการสูญเสียแรงดันและเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายอากาศ
ติดตั้งให้แน่นหนา: ติดตั้งท่อลมให้แน่นหนา เพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศและลดการสั่นสะเทือน
ติดตั้งฉนวนกันความร้อน: หากจำเป็น ให้ติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนท่อลม เพื่อลดการสูญเสียพลังงาน
ติดตั้งอุปกรณ์เสริม: ติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น วาล์ว ตัวปรับแรงดัน และตัวกรอง เพื่อควบคุมการไหลของอากาศและปรับปรุงคุณภาพอากาศ

6. การบำรุงรักษา:

ทำความสะอาด: ทำความสะอาดท่อลมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก
ตรวจสอบรอยรั่ว: ตรวจสอบรอยรั่วของท่อลมเป็นประจำ และซ่อมแซมทันทีที่พบ
ตรวจสอบสภาพ: ตรวจสอบสภาพของท่อลมเป็นประจำ หากพบว่าท่อลมชำรุดหรือเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนใหม่

ข้อควรระวัง:

ควรติดตั้งท่อลมโดยช่างผู้ชำนาญ
ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบระบายอากาศเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย

การเลือกประเภทและติดตั้งท่อลมร้อนอย่างถูกต้องเหมาะสมจะช่วยให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงจากอันตรายที่เกิดจากความร้อนและสารเคมี และช่วยประหยัดพลังงานในระยะยาว

4
จัดฟันบางนา: เครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงหลังจากการฟอกสีฟัน

หลายคนคงมีปัญหาฟันเหลืองหรือมีสีฟันที่เข้มกว่าปกติ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจและอาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพฟันอื่นๆตามมาได้ ซึ่งหากเกิดปัญหาเหล่านี้ การฟอกสีฟันอาจจะตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาได้ เพราะการฟอกสีฟัน หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การฟอกฟันขาว คือวิธีการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ฟันที่มีสีเหลือง สีเข้ม สีคล้ำกลับมาขาวขึ้น เป็นธรรมชาติ  เนื่องจากอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรารับประทานหรือการสูบบุหรี่ ซึ่งคราบต่างๆเหล่านี้สะสมบนผิวฟัน และไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการแปรงฟันหรือขูดหินปูน จึงต้องอาศัยน้ำยาฟอกสีฟันช่วยกำจัดคราบสีที่ติดบนผิวฟัน

โดยปัญหาเหล่านี้ จะสร้างปัญหาให้แก่เรา ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของเราเปลี่ยนแปลงไป อาจจะทำให้เราไม่กล้าพูดคุย ไม่กล้ายิ้ม และขาดความมั่นใจในตัวเอง แน่นอนว่า ปัญหาเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นกับวัยทำงานที่มักจะมีพฤติกรรมการดื่มกาแฟระหว่างวัน ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาฟันเหลือง แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่มีฟันเหลือง เนื่องจากดื่มชา กาแฟ ทำให้สีฟันเข้มขึ้น การฟอกสีฟัน ก็สามารถช่วยได้ แต่ฟันขาวของคุณหลังจากการเข้ารับการฟอกสีฟันจะอยู่ได้นานหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาความสะอาดและพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้เข้ารับการรักษาด้วย และในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเครื่องดื่มที่ผู้เข้ารับการรักษาควรจะหลีกเลี่ยง ภายหลังจากการฟอกสีฟัน เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับในเรื่องของการรับประทานอาหารนั้น สิ่งที่ผู้เข้ารับการรักษาควรจะหลีกเลี่ยงคือ  อาหารที่จะทำให้ฟันเกิดคราบสีได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น ดาร์กช็อกโกแลต ซุปสีเข้ม เนื้อวัว ซอสมะเขือเทศ หรืออื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีอาหารอีกประเภทที่ยังอาจทำให้ฟันคุณมีสีเข้มขึ้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของซอสและเครื่องเทศต่างๆ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้เพราะจะทำให้กระบวนการฟอกสีฟันมีประสิทธิภาพต่ำสุด

สำหรับเมนูเครื่องดื่มที่ผู้เข้ารับการฟอกสีฟันควรจะหลีกเลี่ยงคือ ชาและกาแฟ ยิ่งผู้เข้ารับการรักษาดื่มเครื่องดื่มที่มีสีเข้มมากเท่าไหร่ โอกาสเกิดคราบยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่หากจะดื่ม ควรผสมนมลงไปเพื่อทำให้สีเครื่องดื่มเจือจางและลดโอกาสเกิดคราบสีได้ ต่อมาคือ น้ำผลไม้ เช่น องุ่น ทับทิม และแครนเบอร์รี่ที่มีสีสดและอาจทำให้เกิดคราบสีได้ หากผู้เข้ารับการรักษาต้องการดื่มน้ำเหล่านี้  ให้พยายามใช้น้ำเปล่ากลั้วปากหรือรับประทานจากหลอด เพื่อไม่ให้ฟันด้านหน้าโดนน้ำผลไม้นั้น รวมไปถึง น้ำส้ม น้ำองุ่น น้ำมะเขือเทศ หรืออีกหนึ่งคือผลไม้สีเข้มทุกชนิดเพราะกรดในผลไม้เหล่านั้นก่อให้เกิดคราบสีได้ ต่อมาเครื่องดื่มยอดฮิตอย่าง โคลาและเครื่องดื่มเกลือแร่ มีกรดสูงและช่วยเพิ่มโอกาสเกิดคราบสี

ต่อมาคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งไวน์ขาวและไวน์แดง อาจทำให้ฟันเกิดคราบสีได้ หากดื่มมากเกินไป แม้ไวน์แดงจะทำให้ฟันเป็นคราบสี แต่กรดจากไวน์ขาวยังทำให้เกิดร่องเล็กๆ ในฟัน ทำให้ฟันมีรูพรุนและเป็นคราบได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และอาจจะส่งผลให้เกิดโรคฟันผุตามมาได้ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีสี รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฟองเช่นเบียร์ เพราะก่อให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการฟอกฟันขาว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน ไม่แพ้การรับประทานอาหาร เพราะฉะนั้น ผู้เข้ารับการรักษาควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหลังการรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มทุกครั้ง เพื่อลดการสะสมคราบซึ่งจะก่อให้เกิดสีบนผิวฟัน และเสี่ยงต่อการเกิดคราบหินปูนควรแปรงฟันร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยขจัดคราบบนผิวฟัน ใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ที่ฟอกสีฟันโดยเฉพาะ เพื่อช่วยคงความขาวของฟันให้ได้ยาวนานขึ้น ทั้งนี้ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน หากสนใจเข้ารับการฟอกสีฟัน

5
อาการปวดฟันในเด็ก หลังจากเข้ารับการจัดฟันเด็ก
 
ปัญหาฟันน้ำนมผุหรือฟันผุในวัยเด็ก สามารถเกิดได้ตั้งแต่เด็กมีฟันขึ้นในช่องปาก ซึ่งก็คืออายุประมาณ 6 เดือน  เนื่องจากชั้นเคลือบฟันน้ำนมหนาประมาณครึ่งหนึ่งของฟันแท้เท่านั้น ทำให้ฟันน้ำนมผุได้ง่ายกว่ามาก และยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบน้อยกว่าอีก โดยฟันน้ำนมซี่หน้าบนจะผุได้ง่ายกว่าฟันหน้าล่าง รวมทั้งอีกจุดที่ผุง่ายก็คือ ฟันกรามด้านบดเคี้ยว เพราะเป็นซี่ใน ขนมหวานมักติดค้างอยู่ในร่องฟัน จึงทำความสะอาดได้ยากนั่นเอง

ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะแนะนำหรือสอนลูกให้ทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี เพราะถือว่าการทำความสะอาดช่องปากและฟันของเด็กนั้น เป็นสุขอนามัยเบื้องต้นที่จะอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิต ถ้าหากเด็กมีฟันผุ อาจจะทำให้เกิดอาการปวดฟันได้ จนทำให้ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก และปัญหาสุขภาพในด้านอื่นๆด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากลูกมีอาการปวดฟันที่อาจจะมีสาเหตุมาจากการเกิดฟันผุ

ก็ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา และถ้าหากมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟันก็อาจจะพาเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพราะการจัดฟันในเด็กสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างถาวร เพื่อให้เด็กได้มีฟันที่เรียงตัวอย่างสวยงามตั้งแต่อายุยังน้อย แต่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะมีความกังวลว่า ถ้าหากบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันแล้ว จะเกิดอาการปวดฟันหรือไม่ ซึ่งเมื่อเด็กมีอาการปวดฟันระหว่างการจัดฟัน ก็อาจจะส่งผลกระทบในด้านอื่นๆได้
 
สำหรับการจัดฟันในเด็ก สามารถทำได้ในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4-15 ปี เพราะในช่วงวัยเด็ก กำลังมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างถาวร พ่อแม่สามารถพาบุตรหลานของท่านไปพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อตรวจหาการสบฟันที่ผิดปกติ เพราะการสบฟันที่ผิดปกติบางอย่างในเด็กนั้น สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ หากตรวจพบเมื่อเด็กอายุยังน้อย

สำหรับการจัดฟันในเด็กจะช่วยแก้ไขพฤติกรรมบางอย่างในเด็กได้ด้วย เช่น พฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพฟันของเด็ก เช่น การดูดนิ้ว ดูดขวดนมที่นานเกินไปย่อมส่งผลต่อฟันของเด็กในอนาคตอย่างแน่นอน แต่การจัดฟันในเด็ก ก็มีด้วยกันสองรูปแบบ คือ การจัดฟันในเด็กด้วยการใช้เครื่องมือ EF LINE เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 4 ขวบ เพราะเครื่องมือ EF LINE มีลักษณะชิ้นยางเด็กสามารถใช้งานได้ง่าย เพียงแค่ใส่เครื่องมือดังกล่าวไว้เฉยๆ แต่เด็กที่มีอายุ 10 ปี ขึ้นไป ก็เพราะกับการใช้เรื่องมือการจัดฟันแบบเครื่องมือติดแน่น

เพราะเด็กในวัยนี้สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้เป้นอย่างดี และสำหรับอาการปวดฟันในเด็ก หลังจากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แน่นอนว่าในช่วงแรกที่เริ่มใส่เครื่องมือการจัดฟัน จะทำให้รู้สึกมีอาการปวดฟัน เนื่องจากช่องปากของเรายังไม่คุ้นชินกับเครื่องมือ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1-2 สัปดาห์ อาการปวดฟันก็จะหายไปเอง ซึ่งอาการปวดฟันระหว่างการจัดฟันนั้น ถือว่าเป้นเรื่องปกติ เพราะเครื่องมือการจัดฟันกำลังทำงาน จึงทำให้มีอาการปวด แต่ไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะกังวลแต่อย่างใด
นอกจากนี้เรื่องทีสำคัญที่สุดก็คือ จะต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด และพบทันตแพทย์ตามนัดหมาย ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียวรวมทั้งของหวานทำความสะอาดช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ  เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เด็กมีฟันที่สวยงามตั้งแต่อายุยังน้อย ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาฟันในตอนโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ทั้งนี้ หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก และยังมีระสบการณ์ด้านทันตกรรมเด็กมาอย่างยาวนาน พร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาสำหรับเด็กที่อยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย

6
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



7
อาการของโรคหืด (Asthma)

หืด เป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังชนิดหนึ่ง  ซึ่งมีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเนื่องจากหลอดลมตีบเป็นครั้งคราว  ทำให้มีอาการหายใจหอบเหนื่อย เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง  ส่วนมากมักจะไม่มีอันตรายร้ายแรง  ยกเว้นในรายที่เป็นมากหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง  ก็อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร  หรือมีอันตรายถึงตายได้

โรคนี้พบได้บ่อยในคนทุกวัย  มีความชุกสูงสุดในช่วงอายุ 10-12 ปี  ส่วนใหญ่มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุก่อน 5 ปี  ส่วนน้อยที่เกิดขึ้นครั้งแรกในวัยหนุ่มสาวและวัยสูงอายุ

ในบ้านเราเคยมีการสำรวจนักเรียนในกรุงเทพฯ  พบว่ามีความชุกของโรคนี้ประมาณร้อยละ 4-13

ในวัยเด็ก (ก่อนวัยหนุ่มสาว) พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงประมาณ 1.5-2 เท่า

ทั่วโลกพบว่าโรคนี้มีแนวโน้มเกิดมากขึ้นในทุกประเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่มีสิ่งแวดล้อม (ได้แก่ มลพิษและสารก่อภูมิแพ้) และวิถีชีวิตที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้

สาเหตุ

เกิดจากปัจจัยร่วมกันหลายประการ ทั้งทางด้านกรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การติดเชื้อ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม การบวมของเนื้อเยื่อผนังหลอดลม และการหลั่งเมือก (เสมหะ) มากในหลอดลม มีผลโดยรวมทำให้หลอดลมตีบแคบลง เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นชนิดผันกลับได้ (revesible) ซึ่งสามารถกลับคืนเป็นปกติได้เอง หรือภายหลังให้ยารักษา

บางรายอาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมปี  หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง  โครงสร้างของหลอดลมจะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง  จนในที่สุดมีความผิดปกติ (airway remodeling) ชนิดไม่ผันกลับ (irreversible) ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร

ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อื่น ๆ (เช่น หวัด ภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้) ร่วมด้วย และมักมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องเป็นหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ

นอกจากนี้ยังพบปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น ได้แก่ ภาวะน้ำหนักเกิน (ทำให้มีอาการกำเริบบ่อย และรุนแรงได้) ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักแรกเกิดน้อย ทารกที่มีมารดาสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ การติดเชื้อไวรัสตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสอาร์เอสวี (ดู "โรคหลอดลมฝอยอักเสบ" เพิ่มเติม) การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ (ได้แก่ ไรฝุ่นบ้าน) ปริมาณมากตั้งแต่ในช่วงขวบปีแรก

กลไกการตีบแคบของหลอดลมในโรคหืด

สาเหตุกระตุ้น 

ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น  ที่พบบ่อยได้แก่

    สารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองหญ้า วัชพืช  ละอองเกสรดอกไม้  ไรฝุ่นบ้าน (พบอยู่ตามพรม ที่นอน เฟอร์นิเจอร์หรือของเล่นที่ทำด้วยนุ่น หรือเป็นขน ๆ) เชื้อรา (พบสปอร์ตามพุ่มไม้  ในสวน ห้องน้ำ ห้องครัว ในที่ชื้น) แมลงสาบและสัตว์เลี้ยงในบ้าน (สารก่อภูมิแพ้อยู่ในน้ำลาย ขุยหนังที่ลอกหรือรังแค ขนสัตว์ ปัสสาวะ และมูลสัตว์) อาหาร (ได้แก่ นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ไข่ กุ้ง หอย ปู ปลา ถั่วลิสง งา สีผสมอาหาร สารกันบูดในอาหาร)
    สิ่งระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย ควันไฟ ควันธูป ฝุ่นละออง มลพิษในอากาศ (ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์ ก๊าซโอโซนที่พบมากในเมืองใหญ่) สเปรย์ ยาฆ่าแมลงหรือวัชพืช อากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน กลิ่นฉุด ๆ สารเคมี (ภายในบ้าน ที่ทำงาน และโรงงาน)
    ยา ได้แก่ แอสไพริน  ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์  ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตา 
    การติดเชื้อของทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ เป็นต้น
    การออกกำลังกาย อาจชักนำให้เกิดอาการหอบหืดกำเริบในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกกำลังจนเหนื่อยหรือหักโหมเกินไป
    ความเครียดทางจิตใจ เช่น ความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ การงาน ครอบครัว รวมทั้งอารมณ์ซึมเศร้า  ความเศร้าโศกจากการสูญเสียคนที่รัก  เป็นต้น
    ฮอร์โมนเพศ  พบว่าผู้หญิงระยะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (puberty) ระยะก่อนมีประจำเดือน  หรือขณะตั้งครรภ์ มักมีโรคหืดกำเริบ  (ในช่วงสัปดาห์ที่ 24-36 ของการตั้งครรภ์)
    โรคกรดไหลย้อน น้ำย่อยหรือกรดที่ไหลย้อนลงไปในหลอดลมอาจทำให้โรคหืดกำเริบได้บ่อย

อาการ

มักมีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับมีเสียงดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีด (ระยะแรกจะได้ยินช่วงหายใจออก ถ้าเป็นมากขึ้นจะได้ยินทั้งช่วงหายใจเข้าและออก) อาจมีอาการไอ ซึ่งมักมีเสมหะใสร่วมด้วย

บางรายอาจมีเพียงอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือไอเป็นหลักโดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจนก็ได้ อาการไอดูคล้ายไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ หรือหลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกเริ่มของโรคนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการไอมากตอนกลางคืนหรือเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน หรือวิ่งเล่นมาก ๆ เด็กเล็กอาจไอมากจนอาเจียนออกมาเป็นเสมหะเหนียว ๆ และรู้สึกสบายหลังอาเจียน

ผู้ป่วยอาจมีอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก คันคอ เป็นหวัด จาม หรือผื่นคันร่วมด้วย หรือเคยมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน

ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง มักจะมีอาการเป็นครั้งคราว และมักกำเริบทันทีเมื่อมีสาเหตุกระตุ้น ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากจะลุกขึ้นนั่งฟุบกับโต๊ะหรือพนักเก้าอี้และหอบตัวโยน

ในรายที่เป็นรุนแรงมักมีอาการต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนกว่าจะได้ยารักษา จึงจะรู้สึกหายใจโล่งสบายขึ้น

ในช่วงที่ไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายเช่นคนปกติทั่วไป

ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหืดรุนแรง เช่น เคยหอบรุนแรงจนต้องไปรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลบ่อย เคยต้องใส่ท่อหายใจช่วยชีวิต ต้องใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีด หรือต้องใช้ยากระตุ้นบีตา 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น สูดมากกว่า 1-2 หลอด/เดือน ถ้าขาดการรักษาหรือได้รับยาไม่เพียงพอในการควบคุมอาการ  อาจมีอาการหอบอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงวัน ๆ แม้จะใช้ยารักษาตามปกติที่เคยใช้ ก็ไม่ได้ผล  เรียกว่า ภาวะหืดดื้อ หรือ หืดต่อเนื่อง  (status asthmaticus) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการสับสน หมดสติ ในที่สุดหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น เสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

อาการที่เข้าข่ายเป็นโรคหืด

ควรสงสัยว่าเป็นโรคหืด  ถ้าผู้ป่วยมีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีเสียงหายใจดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีดบ่อยครั้ง คือ มากกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
    มีอาการไอ รู้สึกเหนื่อยง่าย หรือมีเสียงหายใจดังวี้ดขณะวิ่งเล่น  หรือออกกำลังกาย
    ไอตอนกลางคืน โดยที่ไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
    มีอาการต่อเนื่องหลังอายุ 3 ปี
    อาการกำเริบหรือเป็นมากขึ้น เมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น เช่น ละอองเกสร  ขนสัตว์ สเปรย์ บุหรี่ ไรฝุ่นบ้าน ยา การติดเชื้อทางเดินหายใจ ออกกำลังกาย ความเครียด
    เวลาเป็นไข้หวัดมีอาการต่อเนื่องนานเกิน 10 วัน หรือมีอาการไอรุนแรง หรือไอนานกว่าคนอื่นที่เป็นไข้หวัด
    อาการดีขึ้นเมื่อใช้ยารักษาโรคหืด
    มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ เช่น หวัดภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้

ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบได้ค่อยข้างบ่อย ได้แก่ ภาวะหมดแรง (exhaustion) ภาวะขาดน้ำ ปอดแฟบ (atelectasis) การติดเชื้อ (หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ)

ที่ร้ายแรง คือ ภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งพบในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ภาวะปอดทะลุ, ภาวะมีอากาศในประจันอกและใต้หนัง (mediastinal and subcutaneous emphysema), ภาวะหัวใจล้มเหลวดังที่เรียกว่า โรคหัวใจเหตุจากปอด (cor pulmonale), เป็นลมจากการไอ (tussive syncope), ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง 

ในหญิงตั้งครรภ์ ถ้าเป็นโรคหืดที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย ทารกตายระยะใกล้คลอดและหลังคลอด


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกายขณะที่ไม่มีอาการ มักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ

ขณะที่มีอาการหอบ มักได้ยินเสียงหายใจดังวี้ด ๆ ใช้เครื่องฟังตรวจปอดจะได้ยินเสียงหายใจออกยาวกว่าปกติและมีเสียงวี้ด (wheezing) กระจายทั่วไปที่ปอดทั้ง 2 ข้างในช่วงหายใจออก (ถ้าหอบมากจะได้ยินเสียงวี้ดทั้งในช่วงหายใจเข้าและออก) ชีพจรเต้นเร็ว มักไม่มีไข้ ถ้ามีไข้แสดงว่าอาจมีโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบร่วมด้วย หรืออาจมีปอดอักเสบแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรงจะมีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม แอ่งไหปลาร้าบุ๋ม ตัวเขียว สับสน หมดสติ ใช้เครื่องฟังปอดอาจไม่ได้ยินเสียงวี้ด เนื่องจากมีภาวะอุดกั้นรุนแรงจนลมหายใจผ่านเข้าออกน้อย

ในรายที่เป็นโรคหืดเรื้อรังมานานอาจพบหน้าอกมีความหนา (ความยาวจากด้านหน้าถึงด้านหลัง) กว่าปกติที่เรียกว่า อกโอ่ง บางรายอาจพบหน้าอกโป่งเหมือนอกไก่

ในการประเมินความรุนแรงของโรค แพทย์จะทำการทดสอบสมรรถภาพของปอด (ดูค่า FEV1 และ PEF)*

กรณีที่ยังวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การสูดสาร methacholine กระตุ้นให้หลอดลมตีบ (methacholine challenge), การกระตุ้นให้อาการกำเริบด้วยการออกกำลังกาย หรือการสูดอากาศเย็น (provocative testing for exercise and cold-induced asthma), การทดสอบภาวะภูมิแพ้ (allergy testing) โดยการตรวจเลือดหรือทดสอบผิวหนัง การตรวจหาปริมาณอีโอซิโนฟิล (eosinophil ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) ในเสมหะ, เอกซเรย์ปอด เป็นต้น

* FEV1 (forced expiratory in one second) หมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกแรง ๆ ใน 1 วินาที โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดปริมาตรอากาศหายใจ (spirometer)

PEF (peak expiratory flow) หมายถึง อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบฉับพลัน ให้ยาขยายหลอดลมชนิดสูด (เช่น ยากระตุ้นบีตา 2) ทันที เพื่อบรรเทาอาการ ถ้ายังไม่ทุเลา สามารถให้ซ้ำได้อีก 1-2 ครั้งทุก 20 นาที

หากผู้ป่วยรู้สึกหายดี แพทย์จะทำการประเมินอาการ สาเหตุกระตุ้น และประวัติการรักษาอย่างละเอียด

2. ในกรณีที่มีประวัติเป็นโรคหืดและมียารักษาอยู่ประจำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการตอนกลางวันไม่เกิน 2 ครั้ง/สัปดาห์ สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ  และไม่มีอาการตอนกลางคืน  ก็ให้การรักษาแบบกลุ่มที่ควบคุมโรคได้ (ดูตาราง "การแบ่งระดับของการควบคุมโรค") โดยให้ใช้ยาที่เคยใช้อยู่เดิมต่อไป

3. ในกรณีที่ผู้ป่วยเพิ่งมีอาการครั้งแรกและไม่เคยได้รับยารักษามาก่อน แพทย์จะให้ยารักษา (ส่วนใหญ่ใช้ยาชนิดสูดพ่นเป็นพื้นฐาน บางรายอาจให้ยาชนิดกินร่วมด้วย) ด้วยชนิดและขนาดมากน้อยตามระดับความรุนแรงของโรค นอกจากนี้แพทย์จะทำการตรวจสมรรถภาพของปอด  ให้สุขศึกษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตัวต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง และการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น

4. แพทย์จะติดตามผู้ป่วยทุก 1-3 เดือน เพื่อประเมินอาการและปรับเปลี่ยนการรักษาที่เหมาะสมตามอาการในแต่ละช่วง

5. แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยมีอาการกำเริบและมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    ไม่ตอบสนองต่อการรักษาข้างต้นภายใน 1-2 ชั่วโมง มีอาการหอบต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมง หรือมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย
    มีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ปากเขียว มีอาการสับสน ซึม หรือพูดไม่เป็นประโยค
    มีประวัติเคยเป็นโรคหืดรุนแรง เคยรับการรักษาในห้องอภิบาลผู้ป่วย (ไอซียู) เนื่องจากโรคหืดมาก่อน กำลังกินหรือเพิ่งหยุดกินยาสเตียรอยด์ หรือใช้ยาบีตา 2 ออกฤทธิ์สั้นสูดบ่อยกว่าทุก 3-4 ชั่วโมง
    มีอาการหอบเหนื่อยที่สงสัยว่าเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ เช่น เช่น มีไข้และใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) หรือสงสัยว่าเป็นปอดอักเสบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ, มีอาการเท้าบวม หลอดเลือดคอโป่ง ความดันโลหิตสูง หรือสงสัยมีภาวะหัวใจวาย, มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือสงสัยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น ในกรณีนี้ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด ตรวจสมรรถภาพของปอด ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ ตรวจคลื่นหัวใจ เป็นต้น

6. ในรายที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคหืดกำเริบรุนแรง หรือภาวะหืดต่อเนื่อง มีแนวทางในการรักษาดังนี้

    ให้ออกซิเจน และสารน้ำ (น้ำเกลือ)
    ให้ยาขยายหลอดลม ออกฤทธิ์สั้น ชนิดสูด
    ให้สเตียรอยด์ชนิดสูดในขนาดสูงกว่าเดิม
    ในรายที่มีอาการรุนแรงปานกลางและมากให้สเตียรอยด์ชนิดฉีดหรือกิน
    เมื่ออาการดีขึ้น (มักได้ผลภายใน 36-48 ชั่วโมง) ก็ให้กินต่อจนครบ 5 วัน
    ในรายที่หอบรุนแรงจนเกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว อาจต้องใส่ท่อหายใจและเครื่องช่วยหายใจและแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ พร้อมกัน

เมื่อควบคุมอาการได้แล้ว แพทย์จะนัดติดตามดูอาการภายใน 2-4 สัปดาห์

7. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหืดทุกราย แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาระยะยาวเพื่อควบคุมอาการให้น้อยลง ป้องกันอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ฟื้นฟูสมรรถภาพของปอดให้กลับคืนสู่ปกติ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ป้องกันการเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร โดยมีแนวทางการดูแลรักษาดังนี้

(1) ประเมินความรุนแรงของโรค โดยพิจารณาจากอาการแสดง (ความถี่ของอาการกำเริบตอนกลางวัน และตอนกลางคืน) ร่วมกับการตรวจสมรรถภาพของปอด (ดูค่า FEV1 และ PEF)*

(2) ให้ยารักษาโรคหืด ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มยาบรรเทาอาการ ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ขยายหลอดลม (เช่น ยากระตุ้นบีตา 2) และกลุ่มยาควบคุมโรค ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบและการบวมของผนังหลอดลม (เช่น ยาสเตียรอยด์) แพทย์จะเลือกใช้ชนิดและขนาดของยาตามระดับของการควบคุมโรค ดังนี้

    กลุ่มควบคุมได้ ให้การรักษาตามขั้นตอนเดิมต่อไปอย่างน้อย 3 เดือน แล้วค่อย ๆ ปรับลดยาลงทีละน้อย จนกว่าจะใช้การรักษาขั้นที่ต่ำสุดที่ยังสามารถควบคุมอาการได้
    กลุ่มควบคุมได้บางส่วน และกลุ่มควบคุมไม่ได้ แพทย์จะปรับเพิ่มขั้นตอนการรักษาจนกว่าจะสามารถควบคุมอาการได้ภายใน 1 เดือน โดยก่อนปรับยา จะทบทวนว่าผู้ป่วยมีการใช้ยาตามสั่ง และใช้ถูกวิธีหรือไม่ รวมทั้งได้หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นหรือไม่ และแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน

หลังจากควบคุมอาการได้แล้ว จะติดตามผลการรักษาต่อไปทุก 1-3 เดือน และปรับขั้นตอนการรักษาให้เหมาะกับระดับของการควบคุมโรค ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยน (ดีขึ้นหรือเลวลง) ไปได้เรื่อย ๆ

ในเด็กที่มีสาเหตุจากสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้และอาการไม่ดีขึ้นหลังการใช้ยาหรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยา แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วย การขจัดภูมิไว (desensitization)**

(3) ให้การรักษาโรคที่พบร่วม เช่น หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ โรคกรดไหลย้อน เป็นต้น

(4) แนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้นและการปฏิบัติตัวต่าง ๆ (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านล่าง)

(5) ติดตามผลการรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและทำการตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะ ในรายที่เป็นโรคหืดรุนแรงหรือมีอาการกำเริบบ่อย  แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)  ไปตรวจเองที่บ้านทุกวัน เพื่อตรวจภาวะหลอดลมตีบซึ่งจะพบก่อนมีอาการแสดงนานเป็นชั่วโมงถึงเป็นวัน ผู้ป่วยจะได้รีบใช้ยารักษาหรือไปพบแพทย์ปรับยาให้เหมาะสม  นอกจากนี้แพทย์ยังแนะนำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง

ผลการรักษา  ส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้ดี

ถ้ามีอาการเริ่มเป็นตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อโตขึ้นหรือย่างเข้าวัยหนุ่มสาว อาการอาจทุเลาจนสามารถหยุดการใช้ยาสูดบรรเทาอาการได้ แต่บางรายเมื่ออายุมากขึ้นก็อาจมีอาการกำเริบได้อีก

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีอาการหอบเหนื่อยแล้ว หากขาดการให้ยาควบคุมโรค (ลดการอักเสบ) ก็อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจผิดปกติและอุดกั้นในระยะยาวได้ ดังนั้น ถึงแม้จะมีอาการทุเลาแล้วก็ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง

ส่วนในรายที่มีอาการมาก จำเป็นต้องได้รับยาอย่างเพียงพอ หากขาดยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์มาก่อน ก็อาจมีอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขั้นกลายเป็นภาวะหืดดื้อ เป็นอันตรายได้

ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะมีอัตราตายต่ำ

* FEV1 (forced expiratory in one second) หมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกแรง ๆ ใน 1 วินาที โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดปริมาตรอากาศหายใจ (spirometer)

PEF (peak expiratory flow) หมายถึง อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)

** บางครั้งก็เรียกว่า อิมมูนบำบัด (immunotherapy) โดยการฉีดยาทดสอบว่าแพ้สารอะไร  แล้วฉีดสารนั้นทีละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อลดการแพ้ วิธีนี้ใช้ได้ผลดีในเด็ก  ส่วนในผู้ใหญ่ได้ผลไม่สู้ดี  ข้อเสียคือ  ต้องใช้เวลารักษานาน  ราคาแพง  และอาจมีอาการแพ้ที่รุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะช็อกจากการแพ้ (anaphylactic shock) หรือโรคหืดกำเริบรุนแรงได้ จำเป็นต้องฉีดในที่ ๆ มีความพร้อมในการช่วยเหลือถ้าเกิดการแพ้  โดยหลังฉีดสารบำบัดแต่ละครั้งควรเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างน้อย 30 นาที

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับมีเสียงดังวี้ด ๆ คล้ายเสียงนกหวีด หรือผู้ที่มีประวัติใช้ยารักษาโรคหืดอยู่เป็นประจำ มีอาการหอบหืดกำเริบทั้งที่ได้ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ ควรรีบไปพบแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหืด ควรดูแลตนเองดังนี้

1. ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ดังนี้

    ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ ตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะ ใช้เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter) ตรวจเองที่บ้านทุกวัน (สำหรับผู้ที่แพทย์แนะนำ) เรียนรู้วิธีใช้ยาให้ถูกต้อง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีสูดพ่นยา หากทำไม่ถูก การรักษาก็จะไม่ได้ผล) และใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ
    พกยาบรรเทาอาการติดตัวเป็นประจำ หากมีอาการกำเริบ ให้รีบสูดยา 2-4 หน (puff) ทันที ถ้าไม่ทุเลาอาจสูดซ้ำทุก 20 นาที อีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังไม่ทุเลาควรไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยให้หอบนานอาจเป็นอันตรายได้
    ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ อย่าให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ไอมีเสมหะเหนียว หรือมีอาการหอบเหนื่อย
    ทุกครั้งที่สูดยาสเตียรอยด์ ควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาตกค้างที่คอหอย ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก (ดู "โรคเชื้อราในช่องปาก มุมปากเปื่อยจากเชื้อรา" เพิ่มเติม)
    อย่าซื้อยาชุดหรือยาลูกกลอนมาใช้เอง เพราะยาเหล่านี้มักมีสเตียรอยด์ผสม แม้ว่าอาจจะใช้ได้ผล แต่ต้องใช้เป็นประจำ ซึ่งทำให้มีผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาได้  อย่างไรก็ตาม ถ้าเคยใช้ยาเหล่านี้มานาน ห้ามหยุดยาทันที อาจทำให้มีอาการหอบกำเริบรุนแรงหรือเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "โรคช็อก" เพิ่มเติม) ได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อหาทางค่อย ๆ ปรับลดยาลง
    ฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ (โดยการเป่าลมออกทางปาก ให้ลมในปอดออกให้มากที่สุด) เป็นประจำ จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่น อาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้
    ลดน้ำหนัก ถ้ามีน้ำหนักเกิน

2. ถึงแม้อาการทุเลาแล้ว ก็ห้ามหยุดยา หรือปรับลดยาเองตามอำเภอใจ จนกว่าแพทย์จะสั่งปรับยาให้ มิเช่นนั้น อาจทำให้โรคกำเริบรุนแรง เป็นอันตรายได้

3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง กระตุ้นให้โรคกำเริบ (อ่านเพิ่มที่หัวข้อ "การป้องกัน" ข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง)

4. หากมีอาการไม่สบาย ไม่ว่าจะเป็นอะไร ควรปรึกษาแพทย์และใช้ยาที่แพทย์แนะนำเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจทำให้โรคหืดกำเริบ หรือเป็นอันตรายได้

5. ผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน ซึ่งอาจกระตุ้นโรคหืดกำเริบได้ ควรกินยารักษาและปฏิบัติตัวในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการกรดไหลย้อน

6. หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม บำรุงอาหารสุขภาพ รู้จักผ่อนคลายความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

7. ควรไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีอาการหอบหืดกำเริบ 
    เจ็บแน่นหน้าอก 
    ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว
    มีอาการไม่สบายที่จำเป็นต้องใช้ยารักษา ห้ามซื้อยามาใช้เอง เพราะมียาหลายชนิดที่ทำให้หอบหืดกำเริบได้
    ขาดยารักษาโรคหืด เช่น ยาหาย ยาหมดก่อนวันนัด
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

8
ซ่อมบำรุงอาคาร: แอร์ไม่เย็น มีแต่ลม แก้ไขอย่างไร

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้ หลายคนต้องอยู่บ้านเวิร์คฟอร์มโฮม ทำให้ต้องอยู่บ้านนานมากขึ้นและแน่นอนว่าบ้านไหนที่มีเครื่องปรับอากาศจะต้องถูกใช้งานบ่อยมากขึ้นด้วย ทำให้ค่าไฟพุ่งสูง ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการทำงานอยู่ที่บ้านนั้น ส่งผลทำให้เราต้องใช้งานเครื่องปรับอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวในแต่ละวัน ทำให้เครื่องปรับอากาศมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก หลายบ้านที่มีเครื่องปรับอากาศใช้ก็ต้องหนักใจกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้าหรือค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของเรา เพราะการทำความสะอาด แอร์ในบ้านของเรานั้นมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือนเพื่อให้แอร์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยังดีต่อสุขภาพของคนภายในบ้านด้วย

แต่ในขณะเดียวกันการใช้เครื่องปรับอากาศบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ เชื่อว่าหลายคนคงเคยพบเจอกับปัญหาแอร์ไม่เย็นและมีแต่ลมออกมา ทำให้รู้สึกหงุดหงิดและเสียค่าใช้จ่ายไปแบบเปล่าประโยชน์ เพราะบางคนแม้ว่าแอร์ไม่เย็นก็ยังฝืนเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งการกระทำแบบนี้จะทำให้แอร์ของเราเสื่อมสภาพหรือมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติและต้องมาเสียค่าใช้จ่ายอีกหลายพันบาทเลยทีเดียว ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงการแก้ไขปัญหาแอร์ไม่เย็นมีแต่ลมออกมา ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของแอร์ในบ้านของเรา ที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน หากฝืนใช้ต่อไปแน่นอนว่าจะทำให้แอร์ของคุณพังอย่างแน่นอน

ปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่แอร์เก่าเท่านั้น บางครั้งแอร์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาติดตั้งแล้วใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง ลมที่ออกมาก็ไม่เย็นฉ่ำได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ควรรีบตรวจสอบ และแก้ไขทันที ในเบื้องต้นเราสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองด้วยวิธีง่าย ๆ คือ การปรับโหมดการทำงานให้ถูกต้อง วิธีนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด และทุกบ้านสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองว่าขณะที่เปิดใช้งานแอร์นั้น เลือกใช้โหมดการทำงานอยู่ในโหมดใด

เพราะบางครั้งการตั้งค่าโหมดการทำงานของแอร์ที่ไม่ถูกต้อง ก็ส่งผลให้เกิดปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม และ แอร์ไม่ตัด ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานของแอร์ผ่านรีโมทคอนโทรล และหนึ่งในสาเหตุของปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม นอกเหนือจาก น้ำยาแอร์ขาด และคอมเพรสเซอร์เสีย ก็คือ แคป ซึ่งเป็นตัวเก็บประจุ เกิดความเสียหาย ลองสังเกตง่าย ๆ ว่าแคปรัน ระเบิด เสียหายหรือไม่นั่น คือ หากจับที่ตัวแคปรันแล้วมีคราบน้ำมัน หรือรู้สึกมัน ๆ ก็ให้แน่ใจได้เลยว่าเป็นเพราะแคปเกิดการเสียหาย และสาเหตุสุดท้ายคือ การไม่ล้างทำความสะอาดแอร์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้แอร์เกิดความเสียหาย

โดยเฉพาะแอร์ไม่เย็นมีแต่ลมร้อน การปล่อยให้แอร์มีคราบฝุ่นเกาะฝังแน่นสะสมในปริมาณมากทั้งภายในตัวเครื่อง และตัวคอมเพรสเซอร์ โดยที่ไม่ได้ล้างแอร์เป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้ระบบทำความเย็นของแอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมลมแอร์ที่ออกมายังไม่บริสุทธิ์ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว โดยเราควรที่จะตรวจสอบคราบฝุ่นละอองสะสม โดยการถอดหน้ากากแอร์ออก แล้วดูที่แผงฟิลเตอร์ หรือแผ่นกรองอากาศบริเวณด้านหน้าก็จะเห็นคราบฝุ่น และความสกปรกที่เกาะอยู่ สามารถนำแอร์ฟิลเตอร์ไปล้าง ด้วยน้ำสะอาด และใช้แปรงถูเบา ๆ เพื่อขจัดคราบฝุ่นให้หลุดออกไป แล้วตากให้แห้ง ก็จะช่วยลดฝุ่นละอองได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ก็ควรหมั่นล้างแอร์ตามระยะเวลา เพื่อให้มีความสะอาด ยืดอายุการใช้งานของแอร์และดีต่อสุขภาพของคนในบ้านด้วย

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์โดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญ  สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก  เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย

9
บริหารจัดการอาคาร: สาเหตุของแอร์ไม่เย็น

เมื่อแอร์ไม่เย็น สิ่งแรกที่เรารู้สึกคือ "ร้อน" และหงุดหงิดครับ! ปัญหาแอร์ไม่เย็นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ที่เราตรวจสอบเองได้ ไปจนถึงปัญหาซับซ้อนที่ต้องเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญ สาเหตุหลักๆ มีดังนี้ครับ


1. แอร์สกปรก ไม่ได้ล้างแอร์เป็นเวลานาน

นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดและเป็นพื้นฐานที่สุดของปัญหาแอร์ไม่เย็นครับ

แผ่นกรองอากาศอุดตัน: ฝุ่นและสิ่งสกปรกจะสะสมบนแผ่นกรองอากาศของคอยล์เย็น (คอยล์ที่อยู่ในห้อง) ทำให้ลมไม่สามารถผ่านได้สะดวก ลมเย็นจะออกมาน้อยลงหรือไม่มีเลย

คอยล์เย็นสกปรก: หากไม่ได้ล้างแอร์นานๆ จะมีฝุ่น คราบเมือก หรือเชื้อราเกาะสะสมที่แผงคอยล์เย็นโดยตรง ทำให้การแลกเปลี่ยนความร้อนไม่มีประสิทธิภาพ แม้ลมจะออกมาแต่ก็ไม่เย็นฉ่ำ และอาจมีกลิ่นอับ

คอยล์ร้อนสกปรก: ชุดคอยล์ร้อน (คอมเพรสเซอร์) ที่อยู่นอกบ้าน หากมีฝุ่น ใบไม้ หรือสิ่งสกปรกไปเกาะอุดตัน จะทำให้ระบายความร้อนได้ไม่ดี คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้น แอร์จึงไม่เย็นเท่าที่ควร


2. น้ำยาแอร์น้อย หรือรั่วซึม

น้ำยาแอร์คือหัวใจสำคัญในการทำความเย็น หากน้ำยาแอร์มีปริมาณไม่เพียงพอ แอร์ก็ไม่สามารถสร้างความเย็นได้เต็มที่

น้ำยาแอร์ขาด/หมด: อาจเกิดจากการติดตั้งที่ไม่ดี มีรอยรั่วเล็กๆ ตามจุดเชื่อมต่อ หรือเกิดการผุกร่อนของท่อและแผงคอยล์ ทำให้ปริมาณน้ำยาแอร์ลดลงเรื่อยๆ

อาการของน้ำยาแอร์รั่ว:

แอร์ทำงานปกติแต่ลมที่เป่าออกมาไม่เย็น หรือเย็นน้อยลงมาก

คอมเพรสเซอร์อาจทำงานตลอดเวลา ไม่ตัดการทำงาน (เพราะทำความเย็นไม่ถึงค่าที่ตั้งไว้) ทำให้เปลืองไฟ

บางครั้งอาจมีน้ำแข็งเกาะที่คอยล์เย็น (แผงในบ้าน) หรือที่ท่อแอร์ (ท่อทองแดงด้านนอก)

มีน้ำหยดจากตัวเครื่องในจุดที่ไม่ควรหยด


3. คอมเพรสเซอร์แอร์ไม่ทำงาน

คอมเพรสเซอร์คือส่วนสำคัญที่ทำหน้าที่อัดน้ำยาแอร์ให้ไหลเวียนในระบบเพื่อสร้างความเย็น หากคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน หรือทำงานผิดปกติ แอร์ก็จะไม่เย็นเลย มีแต่ลมออกมา

สาเหตุที่คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน:

คาปาซิเตอร์ (Capacitor) เสีย: คาปาซิเตอร์เป็นอุปกรณ์ช่วยสตาร์ทคอมเพรสเซอร์และมอเตอร์พัดลม หากเสียจะทำให้คอมเพรสเซอร์หรือพัดลมไม่หมุน หรือหมุนช้า

มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ไหม้/เสีย: เป็นปัญหาร้ายแรงที่ต้องเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์

แผงวงจรควบคุมเสีย: แผงวงจรอาจไม่ส่งสัญญาณให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน

เบรกเกอร์ตัด/ไฟไม่เข้า: อาจเกิดจากไฟเกิน หรือเบรกเกอร์ ELCB/RCBO ทำงานเพื่อป้องกันไฟดูด

คอมเพรสเซอร์ร้อนเกิน (Overload): เกิดจากแอร์ทำงานหนัก หรือคอยล์ร้อนสกปรก ทำให้ระบายความร้อนไม่ได้ คอมเพรสเซอร์จึงตัดการทำงานเพื่อป้องกันความเสียหาย


4. พัดลมไม่หมุน หรือหมุนช้า

ทั้งพัดลมที่คอยล์เย็น (ในห้อง) และพัดลมที่คอยล์ร้อน (นอกบ้าน) ล้วนมีความสำคัญ

พัดลมคอยล์เย็นไม่หมุน/หมุนช้า: ลมเย็นที่สร้างขึ้นมาจะถูกเป่าออกมาในห้องได้น้อย หรือไม่มีเลย ทำให้ห้องไม่เย็น

พัดลมคอยล์ร้อนไม่หมุน/หมุนช้า: คอยล์ร้อนจะไม่สามารถระบายความร้อนออกจากระบบได้ ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนัก ร้อนจัด และตัดการทำงาน ส่งผลให้แอร์ไม่เย็น

5. ขนาด BTU ของแอร์ไม่เหมาะสมกับขนาดห้อง
BTU ต่ำไป: หากติดตั้งแอร์ที่มีขนาด BTU น้อยกว่าขนาดห้องที่ใช้งาน แอร์จะทำงานหนักตลอดเวลา ไม่สามารถทำความเย็นให้ทั่วถึงห้องได้ ทำให้รู้สึกว่าแอร์ไม่เย็น และเปลืองไฟ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ BTU ที่เหมาะสม: ขนาดห้อง ความสูงเพดาน จำนวนคน สิ่งของในห้อง ทิศทางห้องโดนแดดหรือไม่ จำนวนหน้าต่างและประตู


6. การตั้งค่ารีโมทผิดพลาด

บางครั้งปัญหาก็ง่ายกว่าที่คิด!

โหมดพัดลม (Fan Mode): หากเผลอไปตั้งรีโมทเป็นโหมดพัดลม (สัญลักษณ์รูปพัดลม) แอร์จะเป่าแต่ลมออกมาโดยไม่มีการทำความเย็น

โหมดลดความชื้น (Dry Mode): โหมดนี้จะเน้นการลดความชื้นมากกว่าการทำความเย็น ทำให้รู้สึกว่าลมออกมาไม่เย็นฉ่ำ

ตั้งอุณหภูมิสูงเกินไป: ลองตรวจสอบว่าตั้งอุณหภูมิไว้สูงเกินไปหรือไม่ เช่น 28-30 องศาเซลเซียส


7. ห้องเก็บความเย็นไม่อยู่

ประตู หน้าต่าง เปิดทิ้งไว้ หรือปิดไม่สนิท: ทำให้ลมเย็นรั่วไหลออกไปภายนอก อากาศร้อนจากภายนอกเข้ามาแทนที่ ทำให้แอร์ทำงานหนักและไม่เย็น

ฉนวนกันความร้อนไม่ดี: ผนังหรือเพดานไม่ได้ติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ดีพอ ทำให้ความร้อนจากภายนอกเข้ามาในห้องได้ง่าย


สิ่งที่ควรทำเบื้องต้นเมื่อแอร์ไม่เย็น

ตรวจสอบรีโมท: ตรวจสอบโหมดการทำงานและอุณหภูมิที่ตั้งไว้

ล้างแผ่นกรองอากาศ: ถอดแผ่นกรองอากาศที่คอยล์เย็นออกมาล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

ตรวจสอบการทำงานของคอยล์ร้อน: ลองไปฟังเสียงและดูว่าพัดลมคอยล์ร้อนหมุนหรือไม่ คอมเพรสเซอร์ทำงานไหม (อาจมีเสียงครืนๆ)

ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท: ตรวจสอบว่าไม่มีช่องว่างให้ลมรั่วไหล

หากลองแก้ไขเบื้องต้นแล้วยังไม่หาย หรือมีอาการที่ซับซ้อน เช่น มีน้ำแข็งเกาะ มีกลิ่นไหม้ หรือคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน ควรรีบเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบและแก้ไข เพื่อความปลอดภัยและเพื่อไม่ให้ปัญหาบานปลายครับ

10
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


11
Doctor At Home: มะเร็งโพรงหลังจมูก (Nasopharyngeal cancer)

มะเร็งโพรงหลังจมูก เป็นมะเร็งที่พบบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อชาติจีน พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ประมาณ 2-3 เท่า พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบมากในช่วงอายุ 50-60 ปี

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีความสัมพันธ์กับเชื้อชาติ (พบในคนเชื้อชาติจีนมากกว่าคนไทย) และมีปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้ออีบีวี (Ebstein-Barr virus/EBV) การบริโภคอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (ซึ่งมีในเนื้อสัตว์รมควัน หมักดอง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม) การระคายเคืองเรื้อรัง เช่น กำยาน ควันธูป ควันไฟจากการเผาไม้หรือหญ้า

ผู้ที่มีประวัติโรคนี้ในครอบครัวมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงกว่าคนปกติ

อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการแสดงชัดเจน ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ในระยะลุกลามแล้ว ด้วยอาการคัดแน่นจมูกข้างหนึ่ง มีน้ำมูกปนเลือด มีเลือดกำเดาไหลบ่อย หูอื้อหรือมีเสียงในหูข้างหนึ่ง (เนื่องจากก้อนมะเร็งอุดกั้นท่อยูสเตเชียน) มีก้อนแข็งข้างคอขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม. (มะเร็งลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองข้างคอ) ชาและเสียวที่แก้มข้างที่เป็นมะเร็ง ตาเข เห็นภาพซ้อน (จากกล้ามเนื้อกลอกลูกตาเป็นอัมพาต จากมะเร็งที่ลุกลามกดเบียดเส้นประสาท)

นอกจากนี้ อาจมีอาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดหู หูชั้นกลางอักเสบซึ่งกำเริบบ่อย เจ็บคอ เสียงแหบ มีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด สำลักน้ำขึ้นจมูก อ้าปากไม่ขึ้น กลืนลำบาก พูดลำบาก หายใจลำบาก เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ก้อนมะเร็งอาจลุกลามไบยังบริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ (ทำให้หายใจลำบาก) กลืนอาหารลำบาก

ในระยะท้าย มะเร็งมักแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ), สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชา และเป็นอัมพาต ชัก)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการใช้กระจกเล็ก ๆ หรือกล้องส่องเข้าไปในโพรงหลังจมูก และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ พร้อมทั้งทำการตรวจเลือดดูภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอีบีวี (ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยและติดตามผลภายหลังการรักษา) ตรวจชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองข้างคอ และทำการตรวจพิเศษ เช่น ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์ปอด สแกนกระดูกดูการแพร่กระจายของมะเร็ง

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยรังสีบำบัด (การฉายรังสีหรือใส่แร่) หรือรังสีบำบัดร่วมกับเคมีบำบัด ส่วนการผ่าตัด อาจทำในกรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่คอออกไป น้อยรายที่ใช้วิธีผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งที่โพรงหลังจมูกออกไป

ผลการรักษา ถ้าเป็นระยะแรก ๆ สามารถรักษาให้หายขาดได้ (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีมากกว่าร้อยละ 70) แต่ถ้าเป็นระยะแพร่กระจาย มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 40


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคัดแน่นจมูกข้างหนึ่งหรือหูอื้อข้างหนึ่งเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์ ๆ, มีน้ำมูกปนเลือด, มีเลือดกำเดาไหลบ่อย, ชาและเสียวที่แก้มข้างหนึ่ง, เจ็บคอหรือปวดหูเรื้อรัง, มีก้อนแข็งข้างคอขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม. เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบและงานจิตอาสาเท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนหรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวดประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก ซีด มีเลือดออก ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน กินไม่ได้ หายใจลำบาก เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งโพรงหลังจมูกด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    ลดการบริโภคอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (ซึ่งมีในเนื้อสัตว์รมควัน หมักดอง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม)
    หลีกเลี่ยงการถูกสิ่งระคายเคือง เช่น กำยาน ควันธูป ควันไฟจากการเผาไม้หรือหญ้า

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการคัดแน่นจมูกทุกวันนานเกิน 2-3 สัปดาห์ กินยาแก้หวัดคัดจมูกไม่ทุเลา หรือมีอาการหูอื้อข้างหนึ่งร่วมด้วย พึงสงสัยว่าอาจเป็นโรคมะเร็งโพรงหลังจมูก และควรไปปรึกษาแพทย์

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

12
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer)

มะเร็งต่อมลูกหมาก พบมากเป็นอันดับที่ 5 ของมะเร็งในผู้ชาย มักพบในผู้ชายอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และพบมากขึ้นตามอายุ ส่วนในคนอายุต่ำกว่า 40 ปี อาจพบได้แต่น้อย

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศชาย-แอนโดรเจน (androgen) ได้แก่ เทสโทสเทอโรน

พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ดังนี้

    ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ พบว่าถ้ามีพ่อหรือพี่น้องเป็นโรคนี้หรือมะเร็งชนิดอื่น (เช่น มะเร็งเต้านม มดลูก รังไข่ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ถุงน้ำดี ไต กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น) มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าปกติ
    ภาวะอ้วน พบว่าผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่มีภาวะอ้วนมีโอกาสเป็นมะเร็งขั้นที่รุนแรงและยากที่จะให้การรักษา

อาการ

มะเร็งชนิดนี้มักมีการลุกลามช้า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง จนกว่าก้อนโตมากจนเกิดภาวะอุดกั้นท่อปัสสาวะ ก็จะมีอาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะแบบเดียวกับต่อมลูกหมากโต รวมทั้งอาจมีอาการถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด

ในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดหลัง ซี่โครงหรือเชิงกราน (ถ้ามะเร็งแพร่ไปกระดูกหลัง ซี่โครงหรือเชิงกราน) เท้าบวม (ถ้าแพร่ไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณต้นขา)


ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้ทางเดินปัสสาวะอุดกั้น (ปวดท้องน้อย ถ่ายปัสสาวะลำบากหรือถ่ายไม่ออก) โลหิตจางจากการเสียเลือด

เมื่อมะเร็งลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ไส้ตรง เนื้อเยื่อในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ถ่ายปัสสาวะอุจจาระลำบาก ถ่ายปัสสาวะอุจจาระเป็นเลือด ท้องมาน) และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นโดยการใช้นิ้วตรวจทางทวารหนัก (digital rectal exam) และตรวจระดับพีเอสเอ (prostate specific antigen/PSA) ในเลือด (ปกติมีค่าไม่เกิน 4 นาโนกรัมต่อเลือด 1 มล.)

หากสงสัย เช่น ตรวจพบต่อมลูกหมากเป็นก้อนแข็งหรือขรุขระ หรือมีค่าพีเอสเอสูงกว่าปกติ ก็จะทำการตรวจเพิ่มเติม โดยทำการตรวจอัลตราซาวนด์ต่อมลูกหมากผ่านทางทวารหนัก (transrectal ultrasound/TRUS) และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (prostate biopsy)

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะเลือกวิธีรักษาตามความรุนแรง ระยะของโรค และอายุของผู้ป่วย เช่น

    ผู้ป่วยที่มะเร็งยังจำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก และมีอายุต่ำกว่า 65 ปี หรือคาดว่าสามารถอยู่ได้นานเกิน 10 ปี มักจะทำการผ่าตัดต่อมลูกหมาก
    ผู้ป่วยที่มะเร็งยังจำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก แต่มีอายุมากหรือสุขภาพทรุดโทรม หรือปฏิเสธการผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่มะเร็งเริ่มแพร่กระจายออกไปบริเวณรอบ ๆ ต่อมลูกหมาก มักให้รังสีบำบัด (ด้วยการฝังแร่หรือฉายรังสี)
    ผู้ป่วยที่มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วแล้วหรือค่าพีเอสเอเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือผู้ป่วยอายุน้อยที่เป็นมะเร็งชนิดร้ายแรง มักจะให้ฮอร์โมนบำบัด เพื่อควบคุมเทสโทสเทอโรนให้ลดลง ทำให้ก้อนมะเร็งฝ่อเล็กลง โดยการให้ยาต้านแอนโดรเจนชนิดเม็ด (anti-androgen เช่น flutamide, bicalutamide เป็นต้น) ฉีดยากระตุ้น luteinizing hormone-releasing hormone (LHRH agonists เช่น leuprorelin, goserelin) หรือโดยการผ่าตัดอัณฑะ (ที่สร้างเทสโทสเทอโรน) ออกไปทั้ง 2 ข้าง และอาจให้เคมีบำบัด และ/หรือรังสีบำบัดร่วมด้วย
    ผู้ป่วยที่มะเร็งมีขนาดเล็ก เจริญช้า จำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก หรือไม่มีอาการแสดง (พบจากการตรวจคัดกรอง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากสุขภาพทรุดโทรม หรือคาดว่าอยู่นานไม่ถึง 10 ปี มักจะไม่ให้การรักษาใด ๆ แต่จะเฝ้าติดตามดูการเปลี่ยนแปลงโดยการตรวจระดับพีเอสเอ และการใช้นิ้วตรวจทางทวารหนักเป็นระยะ ๆ ถ้าจำเป็นอาจทำการตรวจชิ้นเนื้อ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีชีวิตที่เป็นปกติสุขอยู่ได้เป็นเวลานาน เนื่องจากมะเร็งมีการลุกลามช้า ไม่คุ้มกับความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา เช่น กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น

หลังการรักษาไม่ว่าด้วยวิธีใด แพทย์จะติดตามตรวจระดับพีเอสเอเป็นระยะ ถ้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แสดงว่าโรคสงบหรือทุเลา แต่ถ้ามีค่าสูงขึ้นก็แสดงว่าโรคอาจกำเริบขึ้นอีก

โดยทั่วไปผลการรักษาค่อนข้างดี และสามารถรักษาให้มีชีวิตอยู่ยาวนาน (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีเกือบร้อยละ 100) เนื่องจากมะเร็งต่อมลูกหมากส่วนใหญ่เป็นมะเร็งที่มีการเจริญหรือลุกลามช้า


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดหลังเรื้อรัง น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ถึงแม้มะเร็งชนิดนี้ป้องกันได้ยาก แต่การปฏิบัติตัวต่อไปนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรค และชะลอการลุกลามของโรค

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ลดอาหารมัน
    กินผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืชให้มาก ๆ
    ออกกำลังกายเป็นประจำ


ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันยังไม่แนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในคนทั่วไปที่ไม่มีอาการโดยการตรวจพีเอสเอในเลือด เพราะยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่ามีประโยชน์ เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ไม่มีอาการแสดงมักเป็นมะเร็งชนิดเจริญช้า ไม่แพร่กระจายออกนอกต่อมลูกหมาก และสามารถมีชีวิตที่เป็นปกติเป็นเวลายาวนาน นอกจากนี้ การตรวจคัดกรองโรคด้วยการตรวจพีเอสเอในเลือด* ยังขาดความแม่นยำ มีโอกาสพบผลบวกลวงค่อนข้างมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ไม่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

2. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาถึงผลดีผลเสียของการตรวจคัดกรองมะเร็งชนิดนี้

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

*พีเอสเอ (Prostate specific antigen/PSA) เป็นสารที่สร้างโดยเนื้อเยื่อต่อมลูกหมาก ระดับพีเอสเอในเลือดมีค่าปกติต่ำกว่า 4 นาโนกรัม/มล. ถ้ามีค่าสูงกว่าปกติ แสดงว่าอาจมีพยาธิสภาพของต่อมลูกหมาก เช่น ต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากได้รับบาดเจ็บหรือผ่าตัด เป็นต้น
ถ้ามีค่าระหว่าง 4-10 นาโนกรัม/มล. อาจเป็นมะเร็งหรือไม่ใช่มะเร็งก็ได้
ถ้ามากกว่า 10 นาโนกรัม/มล. มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็งมักจะมีค่าต่ำกว่า 20 นาโนกรัม/มล.
ถ้ามีค่ามากกว่า 100 นาโนกรัม/มล. มักจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดแพร่กระจาย
ถ้ามีค่าพีเอสเอเพิ่มขึ้นปีละ 0.8 นาโนกรัม/มล. หรือมากกว่า อาจบ่งชี้ว่ากำลังมีมะเร็งเกิดขึ้น
ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากบางรายก็อาจมีค่าพีเอสเออยู่ในระดับปกติก็ได้

13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


14
เครื่องมือจัดฟันเด็ก EF Line ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้นได้อย่างไร

การจัดฟันในเด็ก ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ที่มีปัญหาของรูปร่างและลักษณะของฟัน ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ฟันน้ำนมในเด็กนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันกับฟันแท้ เพราะฟันน้ำนมมีบทบาทสำคัญในลำดับขั้นพัฒนาการของเด็ก นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่จะเกิดฟันแท้มาแทนที่ ยังช่วยในเรื่องลักษณะทางกายภาพให้มีโครงสร้างร่างกายเป็นปกติ มีฟันไว้ช่วยบดเคี้ยวอาหาร หากฟันน้ำนมมีสุขภาพดี ไม่ผุกร่อนหรือติดเชื้อ ก็จะส่งเสริมพัฒนาการฟันแท้ที่จะงอกตามมาให้สมบูรณ์แข็งแรงไปด้วย

ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะสอนให้ลูกรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดฟันอย่างถูกวิธี ควรปลูกฝังให้เด็กตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาฟันในอนาคต หากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของความผิดปกติในเรื่องของรูปร่างฟัน หรือลักษณะของฟันที่มีความผิดปกติ ก็ควรที่พาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการจัดฟัน เพราะการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 4-7 ขวบ ซึ่งเด็กที่มีอายุ 4-7 ขวบ ทันตแพทย์อาจจะใช้เครื่องมือการจัดฟันเด็กที่เราเรียกว่า EF Line ในการรักษา ซึ่งเครื่องมือชนิดนี้ สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก้ปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น รวมถึงจัดการฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ ซึ่งวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงในเรื่องของการปรับตำแหน่งลิ้น โดยการใช้เครื่องมือ EF Line เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน อาจจะยังสงสัยว่า EF Line จะสามารถช่วยปรับตำแหน่งลิ้นได้อย่างไร

ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงเครื่องมือ EF Line ก่อนว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ ทำหน้าที่อะไรบ้าง และมีการทำงานอย่างไร สำหรับเครื่องมือEF Line เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาในเรื่องของกล้ามเนื้อที่มีการทำงานที่ผิดปกติ ช่วยเสริมสร้างในเรื่องของการปรับรูปของกระดูกช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ซึ่งเราทราบกันอยู่แล้วว่า กระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่าง มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่จะมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็อยู่ที่ช่วงของอายุของเด็ก ดังนั้น ตามหลักแล้ว หากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้อง ทำการแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต ซึ่งในปัจจุบันเราพบว่ากล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกร ดังนั้น ทางทันตกรรมจึงได้มีการออกแบบเครื่องมือ

เพื่อทำการแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อ ซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกายกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนวิธีการหายใจ ซึ่งเครื่องมือ EF Line สามารถใช้ได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 4 – 15 ปี โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยว กระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า สำหรับการช่วยในเรื่องของปรับตำแหน่งลิ้นนั้น เด็กที่มีปัญหาในเรื่องของการกลืนที่ผิดปกติและตำแหน่งของลิ้นที่ผิดปกติ  ในขณะกลืนจะยื่นลิ้นออกมาอยู่ระหว่างปลายฟันหน้าบนและล่าง ต้องพิจารณาจากขนาดของลิ้น โดยลิ้นอาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เนื่องจากโรคทางระบบและตำแหน่งของลิ้นในขณะพักตำแหน่งของลิ้นที่ปกติอาจเป็นผลจากขบวนการปรับตัว มักพบในคนไข้ภูมิแพ้ มีการอุดตันของช่องจมูก ขากรรไกรบนแคบมาก ความสูงของใบหน้ามากผิดปกติควรมาพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข ฟันหน้าห่าง การสบฟันหลังคร่อม การพูดออกเสียงไม่ชัด และเกิดการพัฒนาใบหน้าแนวดิ่งมากกว่าปกติ

ดังนั้น หลักการทำงานของ  EF Line ก็คือ ในขณะที่สวมใส่เครื่องมืออยู่ในปาก นาน 2 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน และ 10 ชั่วโมง ในเวลาหลับตอนกลางคืน EF Line จะบังคับให้ขากรรไกรล่างอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับขากรรไกรบน เป็นผลให้เกิดการปรับตัวของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบ สู่สภาวะใหม่ที่สมดุล ซึ่งก็เป็นผลย้อนกลับไป เป็นการควบคุมตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่เปลี่ยนไปให้สมดุลด้วย  หากใครสนใจ พาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กด้วย EF Line สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการทันตกรรมในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

15
ประโยชน์ของการจัดฟันเด็ก

หลายคนคงเคยกังวลในเรื่องของปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะนอกจากจะเป็นปัญหาทางด้านสุขภาพในร่างกายของเราแล้ว ยังทำให้ขาดความมั่นใจในรอยยิ้มและบุคลิกภาพของตัวเองอีกด้วย เนื่องจากมีปัญหาฟันซ้อนเก ฟันห่าง หน้าอูม ทำให้ต้องยิ้มแบบเหนียมอาย ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน ถือว่าเป็นการช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก และเพิ่มความมั่นใจในการดำเนินชีวิตประจำวัน สำหรับปัญหาเกี่ยวกับการสบฟัน ทำให้กัดฟันแล้วชนเหงือก ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เป็นผลให้รับประทานอาหารได้ไม่สะดวก บดเคี้ยวอาหารก็ไม่ละเอียด บางรายกัดเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ขาด เป็นที่มาของโรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่นกระเพาะอาหารอักเสบ หรือกรดไหลย้อน

ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย ในบางกรณีการจัดฟันยังช่วยในเรื่องของการปรับโครงสร้างของใบหน้าในเด็กได้อีกด้วย เพราะการจัดฟันสามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของใบหน้าของเด็กได้ เพราะเด็กยังมีโครงสร้างของใบหน้าและขากรรไกรที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ การจัดฟันก็จะช่วยในเรื่องของการปรับโครงหน้าได้ และส่งผลต่อการขึ้นใหม่ของฟันแท้อีกด้วย

สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนยังมองว่า ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะเนื่องจากเด็กบางคนมีความผิดปกติของฟันมาตั้งแต่เล็กๆ เด็กบางคนมีขนาดขากรรไกรเล็ก ไม่สมดุลกับจำนวนซี่ฟัน จนทำให้ฟันซ้อน เด็กบางคนขากรรไกรยื่น ฟันสบคร่อม ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้ สาเหตุใหญ่จะเกิดจากกรรมพันธุ์ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน รวมไปถึงการที่เด็กมีพฤติกรรมต่างๆ เช่น การที่เด็กติดดูดนิ้ว อาจไม่มีผลเสียหายอะไร หากยังอยู่ในช่วงเด็กเล็ก แต่ถ้าหากเด็กยังติดการดูดนิ้ว ไปจนถึงอายุ 5-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันแท้เริ่มขึ้นก็อาจเป็นสาเหตุทำให้ฟันหน้าอยู่ผิดตำแหน่ง ทำให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติขั้นรุนแรงได้

สำหรับการสบฟันที่มีความผิดปกติในเด็กนั้น สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมและสภาพฟันของเด็ก โดยจะมีอาการคือ ฟันซ้อน ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันหน้ายื่น ฟันน้ำนมหลุดเร็วเกินไป หรือหลุดช้าเกินไป หรือต้องเสียฟันน้ำนมแบบไม่ปกติ ฟันสบลึก หรือฟันสบคร่อม ฟันหรือลักษณะขากรรไกร ดูผิดสัดส่วน เด็กยังติดการดูดนิ้วจนอายุเกิน 5 ปี สามารถกัดหรือบดเคี้ยวอาหารลำบาก และชอบหายใจทางปาก นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เด็กอาจจะมีความผิดปกติของฟัน และควรที่เข้ารับการจัดฟัน แม้การจัดฟันแบบเบื้องต้นในเด็ก อาจไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน หากในช่วงอายุ 7-10 ปี และหากพบสัญญาณของความผิดปกติ ก็จะได้รีบแก้ไขตั้งแต่เนิ่น อาจแก้ไขได้ เพราะเป็นช่วงที่กระดูกขากรรไกรกำลังเจริญเติบโตนั่นเอง

สำหรับประโยชน์ของการจัดฟันในเด็ก นอกเหนือจะทำให้เด็กมีรอยยิ้มที่สวยงาม สดใสสมวัยแล้ว ยังทำให้เด็กมีความมั่นใจ เพราะการจัดฟันในเด็กยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ เมื่อเด็กมีฟันที่เรียงสวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่ซ้อนเก เด็กก็จะแปรงฟันได้ง่ายขึ้น ทำความสะอาดได้ดีขึ้น ซึ่งเรื่องความสะอาดในช่องปาก ถือเป็นเรื่องสุขอนามัยเบื้องต้นที่จะอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิต

นอกจากนั้นทันตแพทย์ผู้ทำการจัดฟัน อาจมีส่วนช่วยหาทางบรรเทา ภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเด็กได้ด้วย สามารถช่วยบำบัดพฤติกรรมเด็กที่ติดการดูดนิ้ว ซึ่งสามารถสร้างผลเสียหาย ต่อการสบฟันในอนาคต ช่วยวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการออกเสียง การหายใจ และการบดเคี้ยวอาหารของเด็กได้เป็นอน่างดี สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง ท่านใดสนใจ จะพาบุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟัน สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้จากทางคลินิกได้ ทางเรามีบริการจัดฟันในเด็ก โดยทันตแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีรอยยิ้มที่สดใส สมวัยอย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 115